"ทนายอาคม" เผย "ทนายตั้ม" ไม่สำนึกยังจะสู้หัวชนฝา ไม่รับฟังเพื่อบรรเทาโทษ ยืนยันไม่ทำคดีให้แน่นอน
เมื่อเวลา 13.00 น.วันที่ 22 พ.ย.67 ที่บริเวณด้านหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทนายอาคม คงสวัสดิ์ เปิดเผยภายหลังเข้าเยี่ยมนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ว่านายษิทรา ยังคงยืนยันว่าภรรยาตัวเองไม่ทราบที่มาของเงิน ว่าเป็นเงินที่มาจากการฉ้อโกง ประการสำคัญที่ฟังแล้วยังรู้สึกหนักใจแทน คือนายษิทรา ยังประสงค์จะต่อสู้คดีอยู่ แปลความได้ว่าอาจยังไม่รู้สำนึก หรือคิดว่าสู้แล้วยังพอมีทาง
แต่ตนก็ให้คำแนะนำไปว่า ถ้าสู้หัวชนฝา มันไม่มีเหตุลดโทษ ไม่มีเหตุบรรเทาโทษ และในฐานะผู้ที่มีความรู้ด้านกฎหมาย ถ้ากระทำความผิดเสียเอง โทษหนักแน่นอน และเขาต้องพร้อมรับบทลงโทษ อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้คุยกับนายษิทราว่า ถ้าไม่ยอมรับสารภาพ จะทำให้ภรรยาและคนรอบข้างได้รับความเดือดร้อน เพราะตนได้อธิบายเพียงว่า ผลของการกระทำมันกระทบต่อคนรอบข้างทุกคน ใครที่สนิทสนมใกล้ชิดเดือดร้อนหมด
ทนายอาคม เปิดเผยอีกว่า ในส่วนของภรรยาของทนายตั้ม เข้าไปเกี่ยวข้องในกรณีรับโอนกรรมสิทธิ์บ้านพร้อมที่ดินของโครงการหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 มี.ค.66 แต่มันเป็นช่วงเวลาที่ใกล้ชิดกับการรับโอนเงิน 71 ล้านบาท ห่างกันประมาณเดือนนิดๆ ซึ่งมันก็สามารถจะบ่งชี้ได้ว่าเจตนาที่จะทำแพลตฟอร์มสลากกินแบ่งรัฐบาล มีจริงหรือไม่ มันเป็นคำถามที่สังคมสงสัย ขณะเดียวกันเขาก็บอกว่าต้นทุนการทำแพลตฟอร์มดังกล่าว มันอาจใช้เงินไม่ถึง 70 ล้าน ที่เหลืออาจเป็นทุนหมุนเวียน ซึ่งเป็นคำตอบ และข้อแก้ตัวของเขาเอง
ทนายอาคม เปิดเผยอีกว่า ตนขอยืนยันเลยว่าภรรยาของทนายตั้ม ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำแพลตฟอร์มสลากกินแบ่งรัฐบาลดังกล่าว และในทางทะเบียน ภรรยาของทนายตั้มมีเเค่ถือหุ้นในบริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม จำกัด ประมาณ 45% เท่านั้น
ซึ่งในการพูดคุยของตนกับนายษิทรานั้น ไม่ได้คุยกันนาน เนื่องจากเหมือนเขาอยากได้คำแนะนำในแง่การต่อสู้คดีมากกว่า คำแนะนำเรื่องเหตุบรรเทาโทษ ทั้งนี้ตนและษิทราไม่ถึงกับขนาดแตกคอกัน เพียงว่าบางเรื่องไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ แยกกันทำงานดีกว่า แต่ในฐานะพี่และคนรู้จักกัน ตนก็ได้แค่เตือนสติ ทำอะไรลงไปต้องรู้ตัว และเราเป็นผู้มีวิชาชีพกฎหมาย มันควรต้องใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ต่อภาพรวมของประเทศ
ทนายอาคม เปิดเผยอีกว่า จากภาพรวมของนายษิทราวันนี้ เขามุทะลุ และสู้หัวชนฝาแน่นอน และมันเป็นข้อเสีย เพราะหนทางในกระบวนการยุติธรรม มีซ้ายและขวา ไม่แพ้ก็ชนะ ดังนั้น ในคำแนะนำของตน ตนได้พูดกับเขาเรื่องคลิปเมื่อวานนี้ ที่พี่อ้อยคุยกับคุณสนธิที่บ้านพระอาทิตย์ และตนคิดว่ามันไม่เป็นประโยชน์ต่อคดีของนายษิทรา มองว่าเป็นโทษมากกว่า
เพราะหลักของคดีฉ้อโกงโดยทุจริตหลอกลวงปกปิดข้อความจริงอันควรบอกให้แจ้ง อันนี้อาจจะไม่มีพฤติกรรมของนายษิทรา เข้าไปเกี่ยวข้องในส่วนของเงิน 39 ล้านบาท แต่ท่อนที่เข้าไปเกี่ยวคือ การหลอกลวงนั้น มันได้ไปซึ่งทรัพย์สิน เพื่อตนเองและบุคคลที่สาม ซึ่งคำว่าบุคคลที่สาม มันเเตะนายษิทรา
ทนายอาคม เปิดเผยอีกว่า สำหรับการเข้าไปเกี่ยวข้องรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน และบ้านของภรรยาทนายตั้มนั้น หากมองในแง่ทางกฎหมาย การกระทำมันมี 2 องค์ประกอบ คือ 1.องค์ประกอบภายนอก คือ การลงรายมือชื่อรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินมันเกิดขึ้นจริง ไม่ต้องเถียงว่าทำหรือไม่ทำ และ 2.องค์ประกอบภายใน คือ มีเจตนากระทำความผิดหรือไม่ รู้หรือไม่รู้เป็นเรื่องในใจ ดังนั้น จึงเป็นภาระการพิสูจน์ของเขาเอง
ทนายอาคม เปิดเผยอีกว่า นายษิทรามีความเป็นห่วงภรรยา แต่การไม่ยอมรับแนวทางการสารภาพเพื่อเหตุบรรเทาโทษนั้น มันเป็นคนละเรื่องกัน เพราะเรื่องของภรรยาก็เรื่องหนึ่ง ของนายษิทราก็เรื่องหนึ่ง แต่ที่มันน่าตั้งข้อสังเกตคือ ทั้งคู่เป็นสามีภรรยากัน มันจะไม่รับรู้กันเลยหรือ
ส่วนกรณีที่ทนายเกิดผล ไม่ได้เข้าเยี่ยมนายษิทรา เป็นเพราะระเบียบของราชทัณฑ์ กำหนดว่าการจะเข้าเยี่ยมได้นั้น ต้องมีการแต่งตั้งทนายความโดยผู้ต้องขังก่อน จึงทำให้วันนี้ทนายเกิดผล ไม่ได้พบนายษิทรา เพราะไม่ได้มีการแต่งตั้งทนายออกมา
ทนายอาคม เปิดเผยอีกว่า เรื่องพินัยกรรมของมาดามอ้อยนั้น นายษิทรายอมรับว่าเขามีชื่อเป็นผู้จัดการมรดกจริง แต่เขาจำรายละเอียดไม่ได้ว่ามันเป็นฉบับที่ 1 หรือฉบับที่ 2 เพราะมีการแก้ไขหลายครั้ง ส่วนการอ้างว่าฉีกทำลายไปแล้ว ก็ตามที่เขาอ้าง แต่ตนไม่รู้ว่าทำลายไปเมื่อใด
ขณะที่เรื่อง GPS ภายในรถ มันมากับรถจริงๆ และนายษิทรา ยืนยันว่าในโทรศัพท์ของเขา ไม่มีการติดตั้งแอปพลิเคชันใดๆของรถเบนซ์ ที่จะรับรู้การเคลื่อนไหวของมาดามอ้อย และนายษิทราก็ไม่ได้มีการเข้าสู่ระบบใดๆ อีกด้วย ภายหลังจากที่ได้มีการส่งมอบรถกัน อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนก็สามารถหาพยานหลักฐานมาหักล้างได้
ทั้งนี้ส่วนที่ชื่อของรถเบนซ์เป็นชื่อนายษิทรานั้น เขายืนยันว่าเขาไม่ทราบ อาจเป็นการดำเนินการโดยเต็นท์รถเอง ส่วนเรื่องจะพามาดามอ้อยไปจุดอับสัญญาณใดๆ ก็ไม่เคยได้พาไป ที่เขื่อนก็ไม่ได้ไป เนื่องจากเวลามาดามอ้อยมาเมืองไทย เธอจะมีโปรแกรมเที่ยว คงอาจมีการนำเสนอจากฝั่งษิทรา แต่ก็ขึ้นอยู่กับมาดามอ้อย ว่าจะเลือกว่าจะไปที่ไหน
เมื่อถามว่าทนายตั้มตกใจหรือไม่ ว่าสังคมลือกันว่าทนายตั้ม จะทำการลวงมาดามอ้อยไปฆาตกรรม ทนายอาคม กล่าวว่า ตนได้เล่าให้เขาฟัง เขาก็ไม่ได้ตกใจ เพราะเขาไม่ได้ไปทำอะไรในแบบแผนประทุษร้าย แต่การที่เราตามข่าวกันมา พฤติกรรมหลายอย่างมันน่าสงสัย ตั้งแต่สัญญา พินัยกรรม การโอนเงิน การใช้เงิน ฯลฯ มันส่อพิรุธไปในทางที่ไม่เป็นคุณต่อเขาเอง
ทนายอาคม กล่าวอีกว่า หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็จะไม่ทำคดีให้นายษิทรา แต่ของภรรยาของษิทรา ตนอาจจะเกี่ยวข้องแค่ในชั้นสอบสวนก็ได้ เพราะต้องฟังทนายสายหยุดด้วยว่าจะอย่างไร ตนอาจเป็นเพียงที่ปรึกษาก็ได้ ถ้าถามว่ามีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่ภรรยาของนายษิทรา จะไม่ได้ไปร่วมกระทำความผิด ก็มีความเป็นไปได้ ส่วนว่าจะรู้ไม่รู้ ก็เป็นเรื่องภายในใจ และยังไม่มีกำหนดว่าจะยื่นขอประกันตัวชั่วคราวภรรยาของนายษิทราเมื่อใด ขอให้การสอบสวนเป็นไปสักระยะหนึ่งก่อน เพราะเรื่องเงิน 39 ล้านบาท ข้อเท็จจริงก็ยังไม่นิ่ง
ส่วนกรณีว่าทนายสายหยุด จะยังคงรับทำดูแลคดีเงิน 39 ล้านบาทให้นายษิทรา ด้วยหรือไม่นั้น เท่าที่ตนฟังจากทนายสายหยุด ยืนยันชัดเจนว่าถ้ามีพยานหลักฐาน เชื่อได้ว่านายษิทรามีส่วนร่วมในเรื่องเงิน 39 ล้านบาท เขาจะไม่รับทำคดีนี้ และตนยืนยันว่าคดีนี้ตนก็จะไม่ทำ เพราะมันเป็นเรื่องเหตุส่วนตัวระหว่างตนกับเขา ยอมรับว่าที่ผ่านมา นายษิทราทำให้ตนเจ็บช้ำน้ำใจมาหลายครั้ง และคนที่จะคุยกับนายษิทราได้ ที่รักใคร่กัน ก็เหลือน้อยแล้ว ที่มายอมคุยด้วยก็ถือว่าเป็นบุญมากแล้ว และที่ตนเข้ามาก็เพื่อช่วยเหลือในส่วนของคดีภรรยานายษิทรา เท่านั้น