"ลูกตำรวจ" ยังเจ็บหนัก หลัง 7 ตร.จราจร รุมทำร้าย "พ่อ" ลั่นไม่รับค่ารักษาพยาบาล ไม่รับกระเช้า พอใจ "แก๊งตร." โดน 2 ข้อหา
ความคืบหน้า กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) 7 นาย รุมทำร้ายร่างกาย นายธนานพ ลูกชายของอดีตตำรวจ ขณะตั้งด่านตรวจ เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวพูดคุยกับ พ่อของนายธนานพ ผู้บาดเจ็บ เปิดเผยอาการล่าสุดของลูกชายตอนนี้ แพทย์แจ้งว่ายังมีอาการปวดศีรษะ เจ็บแผ่นหลัง ยังระบมบริเวณซี่โครงด้านขวาและหน้าอก จากการที่โดนเข่ากระแทก ส่วนดวงตายังบวมแดง และมีเลือดออกตลอดเวลา ต้องคอยเอาซับ คิดว่ากว่าจะหายเป็นปกติอาจต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 เดือน ซึ่งตอนนี้ลูกชายยังมีอาการมึน หากต้องใช้ความคิดมากๆ
ส่วนสภาพจิตใจ ก็มีการคุยกันในครอบครัว สภาพจิตใจก็ดีขึ้น และมีเพื่อนๆ มาให้กำลังใจ ลูกชายก็พอยิ้มออกได้บ้าง แต่ยังมีความกังวลเรื่องคดี ถามตลอดว่าจะเอาผิดตำรวจได้แค่ไหน และยืนยันว่าจะไม่ยอม ตัวเองก็บอกลูกว่าไม่ต้องเป็นห่วง ตนเป็นพนักงานสอบสวนมาก่อน และคอยประสานกับพนักงานสอบสวนในคดีนี้อยู่ตลอด
ซึ่งการที่ตำรวจมาสอบปากคำลูกชายเพิ่มเติมในวันนี้ ก็เป็นความต้องการของตัวเอง เพราะดูคำให้การแล้ว เห็นว่ายังไม่เจาะลงไปในรายละเอียด
ส่วนที่มีการแจ้งข้อกล่าวหาไปเบื้องต้น 2 ข้อหานั้น ก็รู้สึกพอใจ แต่หากมีการสอบคำให้การเพิ่มเติมแล้ว พบความผิดใดเพิ่ม ก็ให้ว่าไปตามนั้น ส่วนที่ตำรวจได้ให้การว่าทำไปเพราะเป็นการปฏิบัติหน้าที่ ตนก็มองว่าดีที่ยอมรับว่าอยู่ในขณะปฏิบัติหน้าที่
สำหรับเรื่องการดำเนินการทางวินัย ก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ ตนไม่อยากกดดัน แต่ก็ยอมรับว่าในครอบครัวคุยกันว่า อยากให้ได้รับโทษถึงที่สุด ซึ่งที่ตำรวจทำหนังสือไปยังต้นสังกัด คือ กองบังคับการตำรวจจราจรนั้น ก็ยังไม่ทราบความคืบหน้าว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร
พ่อของผู้บาดเจ็บ บอกอีกว่า ก่อนหน้านี้ได้มี 1 ใน 7 ตำรวจ ติดต่อมาหาเพื่อนของลูกชาย สอบถามว่าลูกชายได้ขอใช้สิทธิ์ประกันสังคมหรือไม่ ซึ่งตัวเองก็ไม่ทราบว่าถามไปเพื่ออะไร แต่ครอบครัวก็รู้สึกว่า ให้ดูแลตัวเองก่อน ไม่ต้องมาห่วงเรา
ส่วนค่าใช้จ่ายการรักษาตอนนี้ ยังไม่ได้ตรวจสอบกับโรงพยาบาล แต่ก็ประเมินว่าน่าจะไม่ต่ำกว่า 6 หลักแล้ว ทั้งนี้ยืนยันว่าส่วนนี้ครอบครัวไม่ขอรับความช่วยเหลือจากใคร เช่นเดียวกับกระเช้า ขอยืนยันว่าไม่ต้องการรับ โดยไม่ได้โกรธ แต่ต้องการให้สังคมรับรู้ว่า ยืนยันแบบนี้
ส่วนคนขับรถมาสด้าสีแดงคันที่แหกด่าน ตอนนี้ก็ไม่ได้มีติดต่อมาพูดคุยกัน ซึ่งตัวเองมองว่าเป็นคนละส่วน ในส่วนที่ลูกชายตัวเองโดน ถือว่าเป็นเคราะห์กรรม แต่ก็อยากฝากบอกคนขับรถที่แหกด่านว่า การที่ออกไปบนท้องถนน ยังไงก็หนีไม่รอด ถ้าทำผิดอย่าหนี เพราะมีทั้งกล้องตามถนนและข้อมูลในโซเชียลมีเดีย ขนาดคนร้ายที่ก่ออาชญากรรม ตำรวจยังติดตามมาดำเนินคดีได้