"สนธิ" นำมวลชนยื่นนายกฯ ยกเลิก MOU 44 - JC 2544 ขีดเส้น 15 วันต้องมีคำตอบ ถ้าไม่ทำประกาศลงถนนทะลุซอยแน่ พร้อมทิ้งวลี "อย่ามาทะลึ่งกับกู"
วันที่ 9 ธ.ค. 2567 นายสนธิ ลิ้มทองกุล พร้อมนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ 2 อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำมวลชนอดีตแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรสวมเสื้อสีเหลืองมายื่นหนังสือถึง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เพื่อขอให้ยกเลิก MOU44 เพราะอาจทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียผลประโยชน์มหาศาลในพื้นที่อ้างสิทธิ์ทางทะเลไทย-กัมพูชา
ทันทีที่ นายสนธิและนายปานเทพเดินทางมาถึง มวลชนได้ร่วมกันตะโกนให้กำลังใจนายสนธิ ว่า "สนธิสู้ๆ สนธิสู้ๆ" ดังกึกก้อง ก่อนจะเดินเข้าไปภายในห้องประชุม โดยใช้เวลาหารือประมาณ 30 นาที จากนั้นนายสนธิ ได้แถลงข่าวพร้อมกับอธิบาย ภาพ ส.ค.ส. พระราชทาน พ.ศ. 2547 ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ว่า ในแผนที่บน ส.ค.ส. ท่านพระราชทานว่า ว่างเปล่า ที่ว่างเปล่า เพราะนี่คือพื้นที่ของประเทศไทย นี่คือแผนที่ที่พระองค์ท่านเขียนด้วยลายมือของพระองค์เอง วันนี้ตนจึงมาร้องเรียนกึ่งกล่าวหาว่า รัฐบาลชุดนี้กำลังทำผิด เพราะว่า MOU 2544 มันเป็น MOU ขายชาติ ไม่ได้คำนึงถึง พระบรมราชโองการ พ.ศ. 2516 เลย MOU นี้เกิดขึ้นเพราะขณะนั้นนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ไปจับมือกับนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ยอมรับแผนที่ของกัมพูชาที่ซี้ซั้วร่างขึ้นมาเอง กินพื้นที่ของคนไทย และคนที่ร่าง MOU 44 ก็คือ ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ที่ต้องการให้นายทักษิณผลักดัน ลงสมัครเป็นเลขาธิการสหประชาชาติในขณะนั้น
"เมื่อนายทักษิณ ไม่เห็นพระบรมราชโองการ 2516 อยู่ในสายตา แต่ทำไม 31 สิงหาคม 2566 จึงยอมรับพระบรมราชโองการ พระราชทานอภัยลดโทษ อะไรที่เป็นพระบรมราชโองการที่ให้ประโยชน์ต่อคุณ คุณก็เอาใช่ไหม แต่อะไรที่คุณไม่ได้ประโยชน์ก็ไม่เอา นี่คือความจริง ผมจึงกล้าพูดได้ว่า MOU 2544 คือ MOU ขายชาติ และประเทศไทยไม่เคยมีพื้นที่ทับซ้อน แต่เรามีนายกรัฐมนตรีทับซ้อน เพราะฉะนั้นแล้ว MOU 2544 หากเป็นไปตามพระบรมราชโองการ 2516 นั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้"
นายสนธิ ประกาศต่อว่า ตนขอให้เวลารัฐบาลชุดนี้ 15 วัน หลังจากนั้นจะมาติดตามผล และขั้นต่อไป ตนจะไปร้องเรียนต่อสภาผู้แทนราษฎร ตนจะส่งเอกสารให้ สส. และ สว. ทุกคนยืนยันสิทธิของประเทศไทย และหากคนไหนลงมติเห็นชอบ MOU 44 ก็ถือว่า ร่วมอยู่ในขบวนการขายชาติเช่นเดียวกัน และถ้าความจริงหนึ่งเดียวปรากฏ ในอนาคตข้างหน้าก็จะต้องติดคุกติดตารางในฐานะขายชาติ หลังจากนั้นตนก็จะไปยื่นหนังสือร้องเรียนที่กระทรวงการต่างประเทศว่า หากไม่ร่างสัญญาใหม่เพื่อปกป้องอาณาเขตของไทย คุณก็คือข้าราชการขายชาติเช่นเดียวกัน
สุดท้าย นายสนธิได้ประกาศถึงท่าทีในการลงถนนว่า หากเราจะสู้กับรัฐบาลโจร ก็ต้องทำอย่างรอบคอบ เหตุผลที่เราต้องมาร้องเรียน เราได้กำหนดกรอบเวลาไว้แล้ว ถ้าไม่ทำจะเกิดอะไรขึ้น ตนอายุมากแล้ว ทำอะไรก็ต้องทำด้วยความระวัง สู้ครั้งนี้ถ้าถึงที่สุดแล้วต้องชนะลูกเดียว มีแกนนำเก่า มาบอกว่าตนไม่มีมวลชนแล้ว แต่มวลชนที่มาวันนี้ตนไม่ได้ระดม แต่มาด้วยใจ ถ้าถึงเวลาที่จะต้องมา ก็จะมากกว่า 1,000 เท่า 10,000 เท่า ทำให้มวลชนตะโกนโห่ร้องด้วยความถูกใจ
“มีนักการเมืองพรรคเพื่อไทยบอกว่า ถ้าไม่ตกลงผลประโยชน์ก็จะรบกันหรืออย่างไร ผมจึงบอกว่ามึงกินยาผิดหรือเปล่า กูไม่ได้ทะเลาะกับใคร กูถามว่าอันนี้เป็นของกูใช่มั้ย ถ้าเป็นของกูมึงมาเอาไปได้อย่างไร ถ้ามึงไม่ฟัง มึงจะมาเอาคืนก็ต้องเจอกัน มีคนว่าตัวเองเป็นสารตั้งต้นของความวุ่นวาย ประเทศไม่เดินหน้า ต่อไปเพราะการประท้วงของตน จึงขอถามกลับว่าที่ตนออกมาประท้วงปี 2548 กูประท้วงใคร ประท้วงเรื่องอะไร ใช้เวลา 18 ปีในการต่อสู้ เพื่อพิสูจน์ว่าความจริงมีเพียงหนึ่ง ให้ทักษิณสารภาพผิด ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา ว่าได้คดโกงประเทศชาติไปอย่างไร ความจริงประวัติศาสตร์รอตั้ง 18 ปี"
นายสนธิกล่าวว่า ขอให้พี่น้องใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบร้อนร้อน เราจะทำเป็นขั้นเป็นตอน ทำจนกระทั่งสุดขั้นตอน สุดซอยแล้ว ถ้ายังไม่รู้เรื่องก็จะทะลุซอยเลย ถึงวันนั้นถ้าจำเป็นก็ต้องออกมาแสดงพลัง พร้อมถามกับมวลชนว่าพร้อมหรือไม่พร้อม
"นายกฯ อุ๊งอิ๊งค์ และพรรคเพื่อไทย ผมและพวกผมและอีกเยอะในประเทศไทย ทำผิดตรงไหนที่เรารักชาติ ทำผิดตรงไหนที่เราไม่ยอมส่งต่อดินแดนที่เป็นของเรา สิทธิอาณาเขตของเราให้กับเขมร เพียงเพราะผู้นำเขมรและนายกฯ ทับซ้อนบางคน มีข้อตกลงกันว่าจะแบ่งผลประโยชน์ กัน 50 /50 เราผิดตรงไหน วันนี้เราได้แสดงพลังให้ฝ่ายตรงข้ามได้เห็นแล้ว อย่ามาทะลึ่งกับกู"
นายสนธิ ยังกล่าวถึงการจัดเวทีดีเบตระหว่างตัวแทนรัฐบาลกับกลุ่มของตัวเอง ซึ่งจะเป็นโทรทัศน์ช่องไหนก็ได้ จะใช้ NBT ที่คุณยึดมา หรือท็อปนิวส์ที่คุณเป็นเจ้าของก็ได้ ได้ทั้งนั้น แต่ต้องเปิดเวทีสาธารณะให้กับประชาชน ให้รับทราบข้อเท็จจริง คุณมี ดร.กี่คน จะเป็น ดร.จากดาวอังคาร ก็เอามาให้หมด ของตนมีไม่เกินสองสามคน นำโดยนายปานเทพ ตนต้องการเปิดเวทีสาธารณะไม่ใช่ ให้ไปงุบงิบกันในสภา ด้วยเหตุนี้ตนจึงต้องไปร้องเรียนต่อประธานรัฐสภา
ด้านนายปานเทพ กล่าวว่า หนังสือข้อร้องเรียนได้ลงรับเรียบร้อยแล้ว เท่ากับว่านายกฯ รับทราบ ถ้าไม่ทำตาม ต้องมีขั้นตอนในการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป วันนี้มีพี่น้องประชาชนมาเข้าร่วมกันอย่างล้นหลาม ตนขอยืนยันว่าไหล่ทวีปเป็นพระราชโองการ ประกาศออก จะถูกยกเลิกได้ต้องมีพระบรมราชโองการเป็นอย่างอื่น แต่ MOU 44 ทำให้การเป็นพื้นที่อ้างสิทธิ์ เกินกว่าความเป็นจริงไปมากถึง 26,000 ไมล์ทะเล ทำให้เส้นไหล่ทวีปของกัมพูชา มีสถานะรุกล้ำอำนาจอธิปไตยของไทย และการที่ลากเส้นมาประชิดเกาะกูดแบบนี้ ถือเป็นละเมิดประเทศไทย และต่อกฎหมายสากลทางทะเล
นายปานเทพ ยังกล่าวยืนยันว่า เราไม่ได้ต้องการสงคราม แต่พื้นที่ไทย-มาเลย์เราตกลงกันได้ พื้นที่ไทย-เวียดนามเราตกลงกันได้ เพราะต่างฝ่ายต่างยึดกฎหมายทะเลสากลไม่ใช่ขีดเส้นตามอำเภอใจ
สำหรับการยื่นหนังสือ มีความยาว 14 หน้า มี 7 ข้อเท็จจริง 6 ข้อเรียกร้อง เพื่อให้นายกรัฐมนตรีหยุดดำเนินการตาม MOU 2544 และแถลงการณ์ร่วมระหว่างนายทักษิณ ชินวัตรนายกรัฐมนตรีไทย กับนายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา JC 2544 เนื่องจากมองว่าไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ฝ่าฝืนต่อพระบรมราชโองการในการประกาศทะเลอาณาเขตและเขตทะเลต่อเนื่องตลอดจนประกาศเส้นเขตไหล่ทวีป จึงถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 1 และมาตรา 178 ของรัฐธรรมนูญ 2560 โดยข้อเท็จจริงที่ 1 ประเทศไทยได้ลงนามหนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส สมัยรัชกาลที่ 5 ที่ระบุชัดว่าเกาะกูดเป็นของสยาม
2. ต่อมาปี 2509 ได้มีการประกาศอำนาจอธิปไตย ออกไปจากอาณาเขตพื้นดินและน่านน้ำ เรียกว่าทะเลอาณาเขต และแผ่นดินใต้พื้นท้องทะเลของทะเลอาณาเขตผู้ใดและชาติใดจะละเมิดมิได้
3. เมื่ออนุสัญญากรุงเจนีวา มีผลบังคับใช้ปี 2511 ถือเป็นยืนยันว่า บ้านน้ำภายในและทะเลอาณาเขตเป็นอำนาจอธิปไตยของประเทศไทย และยังได้กำหนดเขตต่อเนื่องขยายไปอีก 12 ไมล์ทะเลต่อจากทะเล
4. ปี 2516 มีพระราชโองการกำหนดเขตไหล่ทวีปของประเทศไทย ประกาศอธิปไตยในการสำรวจและแสวงหาประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติในอ่าวไทย โดยได้แนบแผนที่ซึ่งลากเส้นเขตไหล่ทวีปจากหลักเขตที่ 73 ระหว่าง ระหว่างเกาะกูดของไทยกับเกาะกงของกัมพูชา โดยไม่มีพื้นที่อ้างสิทธิ์อธิปไตยจากประเทศอื่น และไม่มีการแบ่งปันการสำรวจแสวงหาผลประโยชน์ทางทะเลในอ่าวไทยให้กับประเทศอื่นด้วย
5. และใน MOU 2544 ไม่มีการแนบแผนที่ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้รับรู้โดยไม่ปฏิเสธเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชา ไหล่ทวีประหว่างไทยกัมพูชาที่มีขนาดใหญ่เกินจริง อันเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อกัมพูชาเกินกว่ามูลฐานบทบัญญัติของอนุสัญญากรุงเจนีวา
6. และนายสุรเกียรติ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ลงนามยอมรับ MOU 44 มีสถานะเป็นสนธิสัญญา แต่อดีตหัวหน้าคณะเจรจาฝ่ายไทย ได้เขียนบทความแนะนำว่าฝ่ายไทยต้องรีบบอกเลิก MOU 2544 โดยเร็ว มิเช่นนั้นฝ่ายไทยจะเสียเปรียบหากเป็นคดีขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
7. MOU 44 ประเทศไทยมีแต่เสียประโยชน์ฝ่ายเดียว เพราะไม่มีการเจรจาจะเป็นประการใด ประเทศไทยก็จะต้องสูญเสียสิทธิ์อธิปไตยในพื้นที่ในการสำรวจและแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติไทยในอ่าวไทยของราชอาณาจักรไทย อย่างน้อย 16,000 ตารางกิโลเมตร
พร้อมกันนี้ ทางกลุ่มจึงมีข้อเรียบร้องขอให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ ตาม MOU 2544 และ JC 2544 โดยทันที ตาม 6 ข้อร้องเรียน คือ 1. ให้นายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่รักษาซึ่งเอกราชธิปไตยของประเทศไทย 2. ให้ส่ง MOU 2544 และ JC 2544 ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขาดหรือยังว่าขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือไม่ 3. หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ให้ยกเลิกการเจรจา ตาม MOU 2544 และ JC 2544 เพื่อปฏิเสธเส้นเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาทันที 4. แต่ถ้าไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็ให้คณะรัฐมนตรีจัดให้มีการเจรจากับกัมพูชาเพื่อยกเลิก MOU 2544 และ JC 2544 ทันทีเช่นกัน และเจรจาใหม่ภายใต้การกำหนดขอบเขตเฉพาะพื้นที่พัฒนาร่วมบนพื้นฐาน โดยใช้หลักการของเส้นมัธยะในการอ้างสิทธิ์ไหล่ทวีปทับซ้อนตามความจริงมูลฐานแห่งบทบัญญัติอนุสัญญาเจนีวา ส่งให้รัฐสภาเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบภายใน 30 วันนับจากการเจรจาเสร็จสิ้น 5. ให้ระงับการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมเทคนิค หรือ JTC ไว้ก่อน จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย 6. ขอให้จัดเวทีดีเบตเพื่อแสดงความคิดเห็นต่อเรื่องนี้
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้จัดกำลังตำรวจควบคุมฝูงชนไว้โดยรอบทำเนียบฯ ซึ่งเป็นไปตามมาตรการรักษาความปลอดภัย แต่ยังไม่มีการปิดการจราจรแต่อย่างใด