นายหน้าประกันแสบ แอบสแกนใบหน้าป้าป่วยอัลไซเมอร์โอนเงิน 1,000,000 บาท เข้าบัญชีตัวเอง ก่อนหายตัว-ติดต่อไม่ได้ ด้านป้าช็อกเข้า รพ. รักษาตัวเกิน 1 เดือน ล่าสุดยังไม่ตอบสนอง ขณะที่นายหน้าประกันไม่สำนึก โพสต์โซเชียลไปบริจาคเลือด

วันที่ 7 ม.ค. 2568 มีรายงานว่า นายฉลาด อายุ 63 ปี และ น.ส.เอ้ ผู้เสียหาย เดินทางเข้าร้อง เพจสายไหมต้องรอด หลังถูก น.ส.แววตา (นามสมมติ) นายหน้าขายประกันบริษัทชื่อดัง หลอกโอนเงินจากบัญชี นางมารศรี อายุ 62 ปี อดีตพนักงาน ขสมก. ที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ จับสแกนใบหน้าโอนเงินเข้าบัญชีตัวเองกว่า 1,000,000 บาท ก่อนสามีมาทราบภายหลัง ขู่แจ้งความจึงยอมโอนคืนมาให้ 300,000 บาท ก่อนหนีหาย ทำให้ทางครอบครัวพยายามติดต่ออีกครั้งแต่พบว่าไม่สามารถติดต่อ น.ส.แวว ได้อีกแล้ว




โดย น.ส.เอ้ เล่าว่า เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2567 น.ส.แววตา นายหน้าประกันที่เคยทำประกันให้ครอบครัวมากว่า 10 ปี เมื่อรู้ว่าเกษียณก็กลับมาหาอีกครั้ง และได้ติดต่อมายัง นางมารศรี ก่อนสอบถามว่าสามี (นายฉลาด) อยู่บ้านหรือไม่ เมื่อรู้ว่าไม่อยู่จึงเข้ามาพูดคุย แต่เมื่อพูดคุยกันเสร็จ น.ส.แววตา ได้นำโทรศัพท์ของนางมารศรีมาสแกนใบหน้า ก่อนจะโอนเงินออกไปยังบัญชีตนเอง จำนวน 1,000,000 บาท โดยไม่มีใครทราบ


กระทั่งวันที่ 24 พ.ย. 2567 ทางครอบครัวและนางมารศรี จะนำเงินไปจ่ายบัตรเงินกู้ของบริษัทการเงินแห่งหนึ่ง จนรู้ว่าเงินถูกโอนออกไปยังบัญชีของ น.ส.แววตา ทำให้ นางมารศรี เริ่มติดต่อหา เพื่อขอเงินคืนมากกว่า 100 สาย ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ย. 2567 แต่ น.ส.แววตา ก็บ่ายเบี่ยงมาตลอดโดยอ้างว่าเข้าโรงพยาบาลและโทรศัพท์ตกน้ำ ทำให้นางมารศรีเริ่มมีภาวะเครียด จนวันที่ 2 ธ.ค. 2567 เกิดอาการช็อก และไตวายเฉียบพลัน และยังรักษาตัวจนถึงปัจจุบันในห้องฉุกเฉิน โดยร่างกายไม่ตอบสนอง


หลังจากนั้นนายฉลาด ได้พยายามติดต่อหา น.ส.แววตา เพื่อสอบถามถึงยอดเงินที่มีการโอนออกไปว่านำออกไปทำอะไร จนทราบว่ามีการนำเงิน 1,000,000 บาท ไปปล่อยกู้จึงพยายามขอเงินคืน แต่ น.ส.แววตา ได้โอนคืนมาให้แค่ 300,000 บาท ก่อนจะปิดการติดต่อไปทุกช่องทางจนถึงตอนนี้ก็ยังติดต่อไม่ได้




ทำให้เมื่อวานนี้ 6 ม.ค. 2568 นายฉลาดและครอบครัวได้เดินทางเข้าไปติดต่อบริษัทประกันภัยแห่งนี้ ที่สาขาบางนา โดยพนักงานบอกว่าจะมีการดำเนินการรวบรวมหลักฐานส่งสำนักงานใหญ่ และยังพบว่า น.ส.แววตา ยังเป็นตัวแทนของบริษัทประกันอยู่ และต้องรออีก 1 สัปดาห์เพื่อนำข้อมูลมาเปิดเผยกับทางผู้เสียหาย


สุดท้าย นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจ สายไหมต้องรอด บอกว่าสำหรับเคสนี้จะประสานไปยังผู้กำกับการ สภ.เมืองสมุทรปราการ โดยได้แจ้งความไปตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 แล้วจะให้ทางพนักงานสอบสวนได้เรียกมาเพื่อที่จะเอาเงินมาคืน ส่วนเรื่องของคดีก็ให้ทางพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการ ซึ่งตนมองว่าเรื่องนี้มันไม่มีจรรยาบรรณ


ล่าสุดทีมข่าวได้เข้าไปเช็กเฟซบุ๊กของ น.ส.แววตา พบว่ายังมีการโพสต์ภาพบริจาคเลือดเมื่อช่วงเช้านี้ (7 ม.ค. 2568) อย่างปกติ แต่ไม่รับสายทางครอบครัวของผู้เสียหาย เมื่อผู้ซื้อติดต่อไปทางโทรศัพท์ ก็ไม่รับสายเช่นเดียวกัน