ชาวบ้านแจ้งพบซากรถเก๋งถูกไฟไหม้วอดทั้งคันกลางป่ายูคาลิปตัส อ.เมืองกาญจนบุรี คล้ายถูกชำแหละ แถมพบชิ้นส่วนปริศนาคล้ายกระดูกคน เบื้องต้นเจ้าของรถเผย รถหาย 2 วันแต่ยังไม่ได้แจ้งความ ตร.เตรียมเรียกสอบอย่างละเอียด
วันที่ 11 มกราคม 2568 มีรายงานว่า ช่วงเย็นวานนี้ (10 ม.ค.) ร.ต.อ.สกุล เอี่ยมบุญลือ รอง สว.สอบสวน สภ.เมืองกาญจนบุรี รับแจ้งเหตุจากกำนันตำบลหนองบัว และผู้ใหญ่บ้านว่า พบซากรถเก๋งถูกไฟไหม้วอดทั้งคัน คล้ายถูกชำแหละ มีชิ้นส่วนคล้ายกระดูกคน ในป่ายูคาลิปตัส หมู่ 6 ต.หนองบัว อ.เมือง จ.กาญจนบุรี จึงรายงานให้ พ.ต.อ.สุรยุทธ เมฆมังกร ผกก.สภ.เมืองกาญจนบุรี และ นายสมบูรณ์ แผนสมบูรณ์ นายอำเภอเมืองกาญจนบุรี ทราบและรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานกาญจนบุรี แพทย์เวร รพ.พหลพลพยุหเสนา ชุดสืบสวนภูธร จ.กาญจนบุรี สายตรวจประจำตำบลหนองบัว และมูลนิธิพิทักษ์กาญจน์ นำรถอุปกรณ์ส่องสว่างสนับสนุน
ที่เกิดเหตุชาวบ้านเรียกว่าป่าเย้ย เป็นป่าดงยูคาลิปตัส กว้างหลายร้อยไร่อยู่ห่างจากถนนชุมชน 400 เมตร สามารถเข้าหลายช่องทาง พบซากรถเก๋งยี่ห้อนิสัน ไม่ทราบรุ่นถูกไฟไหม้ทั้งคัน จอดในลักษณะบนตอไม้ ไม่มีล้อ ไม่มีประตูสามบาน เหลือประตูหน้าฝั่งซ้าย ไม่มีฝากระโปรงหน้า เครื่องยนต์ไหม้ ไม่มีแบตเตอรี่ มีซากเบาะคู่หน้า พบป้ายทะเบียนหลังถูกไหม้ละลายไม่เหลือเลข ท้ายกระโปรงหลังมีถังแก๊สติดตั้งในรถ ที่พื้นดินท้ายรถพบกองปุ๋ย ป่ารอบ ๆ ถูกไฟไหม้ มีชิ้นส่วนสีขาวคล้ายกระดูกคน ทำให้ตกใจกันว่าอาจจะมีผู้เสียชีวิต แต่พอตรวจสอบแล้วไม่ใช่กระดูกคนแต่อย่างใด พบซองกับก้นบุหรี่ ใบเสร็จร้านสะดวกซื้อ จึงเก็บไว้ตรวจสอบ
ทั้งนี้ ตรวจสอบเลขตัวถังในระบบขนส่งทางบก ระบุเป็นรถยี่ห้อนิสัน รุ่นซันนี่ นีโอ ท้ายแตงโม สีดำ มีนายวรากรณ์ อายุ 33 ปี เป็นผู้ครอบครอง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงติดต่อไปยืนยันตัวบุคคลแล้วว่าถูกต้อง จึงแจ้งให้เข้ามาพบชุดสืบสวนที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี
จากการสอบสวนเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทราบว่า เจ้าของรถคันนั้นกล่าวให้ข้อมูลทางโทรศัพท์ว่า รถได้หายไปได้ 2 วันแล้ว แต่ไม่ได้มีการแจ้งความ คาดว่ารถถูกโจรกรรมมาชำแหละอะไหล่ไปขายแล้วเผาทิ้ง หรืออาจถูกคนใกล้ตัวขโมยเอาไป แต่ทำไมต้องเผารถ จึงต้องรอการสอบสวนเจ้าของรถอีกครั้งหนึ่ง เพื่อหาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
สำหรับป่าเย้ยเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่มักจะมีเหตุการณ์ต่าง ๆ อาทิเช่น พบศพผู้เสียชีวิตถูกนำมาทิ้ง หรือมีผู้เสียชีวิตในบริเวณดังกล่าว ซึ่งเป็นสถานที่เปลี่ยว ไม่ค่อยมีใครเข้ามาในพื้นที่สักเท่าไร ดังนั้นคนที่เข้ามาได้ต้องรู้จักเส้นทางเป็นอย่างดี