แสตมป์—อภิวัชร์ เปิดใจเหตุเงียบหายไป เพราะถูกคุกคาม และขู่ยัดข้อหาทางการเมือง

เป็นอีกหนึ่งศิลปิน-นักแต่งเพลงอารมณ์ดี ที่หายหน้าหายตาไปพักใหญ่สำหรับ “แสตมป์” อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข จนเมื่อวันที่ 15 ม.ค. ที่ผ่านมา เจ้าตัวได้มาเล่นคอนเสิร์ต Wednesday Song ที่โรงละครเคแบงก์สยามพิฆเนศ

ซึ่งมีการลงคลิปเต็ม พี่แสตมป์เล่าสาเหตุที่หายไป โดนข่มขู่ คุกคาม @ Wednesdaysong โดยยูทูป SarutaTa

โดยมีบางช่วงบางตอน ได้เปิดใจเล่าเรื่องที่ตัวเขาและภรรยาต้องเผชิญมาตลอดหลายปีให้กับผู้ชมในงานวันนั้นฟัง

ซึ่งในคลิปดังกล่าว เป็นช่วงเวลาที่แสตมป์เล่าถึงช่วงเวลาที่หายไปบนโลกโซเชียล และการรับงานโชว์ที่ผ่านมาว่าตนและภรรยาโดนคุกคามจากบุคคล 2 บุคคล มาเป็นเวลาหลายปี และกำลังต่อสู้อยู่ในชั้นศาล

“ผมขอเล่าเรื่องบางเรื่อง ซึ่งมันจะปกป้องชีวิตในครอบครัวผมได้ถ้าผมออกมาสู่แสงสว่าง เพราะว่าภรรยาผมถูกโจมตีในที่มืดมานานไปแล้ว ผมหายไปเพื่อฟ้องร้องคน 2 คน ที่บุกรุกเข้ามาถ่ายวิดีโอแบล็กเมลภรรยาผมหลังเวที ในปี 2567 ซึ่งผมไปฟ้องร้องเขามา” แสตมป์ พูดบนเวที

แสตมป์เล่าต่อว่า มีคนบางคนที่สร้างสถานการณ์ให้เกิดความเกลียดชัง สร้างความเข้าใจผิดมากมายเกี่ยวกับภรรยาของเขาในวงการเพลง และนอกวงการเพลง ทั้งๆ ที่เขาไม่รู้จักกับตัวภรรยาเป็นการส่วนตัวมาก่อน และก็มีคนหลงเชื่อถึงขั้นมาโพสต์ด่าโจมตี บุกรุกเข้ามาหลังเวทีจนทำงานไม่ได้ รวมถึงเข้ามาคุกคามภรรยาของเขามาเป็นหลายปี

“เรื่องมันร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ในปี 2565 ที่มีตัวละครอีกตัวนึงเพิ่มเข้ามา คือ แฟนของเขาซึ่งทำงานอยู่ในวงดนตรีวงนึง ทำให้เขามีป้ายห้อยคอที่จะสามารถบุกรุกเข้ามาหลังเวทีที่ไหนก็ได้ได้ตามอำเภอใจ ในช่วงปี 2565 ผมกำลังเล่นดนตรีอยู่บนเวที สองคนนี้ก็จะแวะมาโฉบผ่านหน้าภรรยาผม บางครั้ง บางวันก็มาสร้างสถานการณ์มานั่งร้องไห้ใกล้ๆ ภรรยาผมโดยที่ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว ซึ่งภรรยาผมก็ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่รู้ว่าไม่ปลอดภัยแล้ว แต่เธอก็ไม่อยากมีเรื่องไม่ อยากให้ผมเป็นข่าว เธอจึงใช้วิธีการหลบเลี่ยงเอา ภรรยาผมจึงบอกกับผู้จัดงานว่าขอไม่รับงานร่วมกับวงดนตรีนี้ไปก่อน และคิดว่าจะจบได้ไม่มีการปะทะกัน” แสตมป์เล่า

“จนในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2566 เกือบปีต่อมา มีงานเฟสติวัลที่ The Street รัชดา ที่เรามาทราบไม่กี่วันก่อนหน้าว่าเราได้มาเล่นกับวงดนตรีวงนี้ และเราก็แคนเซิลไม่ทันแล้วทำให้เราต้องเดินทางไป ก็คิดว่าไม่น่าเป็นไร และมีพยานในวงเราบอกว่า 2 คนนี้มาดักรอ มานั่งรออยู่หน้าห้องพักศิลปินของพวกเราเป็นชั่วโมงแล้ว

“จำได้ว่าปุ้ม (คนในวงแสตมป์) เดินไปรับผม เพราะกลัวว่าจะอันตราย ผมกับปุ้มก็เดินเข้ามาพร้อมกับภรรยาผม และ 2 คนนี้ก็บุกเข้ามาประชิดตัวภรรยาผม พูดจากล่าวหา หาเรื่อง แล้วก็มีคนอัดคลิปวิดีโอไว้ ผมไม่ทราบว่าจากทิศทางไหนบ้าง แล้วหลังจากนั้นเขาก็เอาไปบอกคนในวงการเพลงว่า บังเอิญเจอกับภรรยาผมหลังเวที แล้วอยู่ๆ ภรรยาผมก็ไปคุกคามเขาโดยไม่มีสาเหตุ” แสตมป์กล่าว

แสตมป์เล่าว่า วิธีการที่เขากับภรรยาใช้เพื่อปกป้องตัวเอง คือจ้างการ์ดมาดูช่วยดูแลความปลอดภัย ช่วยลาดตระเวน ก่อนเริ่มงาน 1 ชั่วโมง ไปดูก่อนว่ามี 2 คนนี้หรือเปล่า นอกจากนี้ เขายังเคยโทรศัพท์ไปพูดคุยกับวงดนตรีที่มีบุคคลดังกล่าวทำงานด้วย โดยแสตมป์ได้ขอโทษถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น

“ที่ผ่านมาเราร่วมงานกันไม่ได้ แต่ว่าเราไม่ได้มีอะไรเลยนะ แต่สองคนนั้นมาปั่นป่วนเรา ทำให้เราทำงานไม่ได้ แต่ตอนนี้เราทำงานกันได้แล้ว เพราะว่าเราเป็นเพื่อนกันมาตลอด หัวหน้าวงก็เข้าใจเราและก็ให้ข้อมูลทันทีว่าเป็นใคร มาจากไหน

“เราถามเขาว่าเขาเป็นสไตลลิสต์ของวงอย่างที่เขากล่าวอ้างหรือเปล่า เขาบอกว่าเปล่า เป็นแค่แฟนของทีมงาน รู้จักกันแค่นั้นไม่เคยร่วมงานกันในตำแหน่งใด”

ผ่านไปไม่นาน ทั้งบุคคลทั้งสองคนก็ได้ย้ายมาอยู่กับอีกวงดนตรีอีกวงหนึ่ง

“21 ตุลาคม 2566 ผมจำได้ดี ที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี ปุ้มเดินเข้ามาในงานก็มีจำเลยคนนี้ ยืนดักรออยู่ ภรรยาผมก็พาผมเบี่ยงตัวไปซ่อนตัวที่ห้องพักศิลปิน จนกระทั่งถึงเวลาสแตนบายโชว์ของเราแล้ว ผมก็ต้องออกไปแบบไม่มีทางเลือก ก็เปิดประตูไปเจอคนคนนี้ยืนรออยู่ มองด้วยท่าทางอาฆาตมาตร้าย แล้วก็ถือมือถือสูงๆ รออัด สุดท้ายก็เกิดการปะทะกัน

“และเช่นเคย ก็ไปบอกคนอื่นว่าบังเอิญเจอกันหลังเวที และภรรยาผมไปคุกคามเขาโดยไม่มีเหตุผล แต่วันนั้นเราไม่ได้ใช้การ์ด เพราะว่าเราเช็คแล้วเช็คอีกว่า งานนี้ไม่มีวงวงนั้นอยู่ เราน่าจะไปเล่นได้ ก็เลยชะล่าใจไม่ได้เอาการ์ดไป พอไปลองเช็คดู ว่าเขามากับวงอะไร ไปนั่งดูชื่อปรากฎไม่มีวงนี้ ก็เลยถามกับผู้จัดที่เป็นเพื่อนกับเราไป เขาส่งชื่อมาทุกชื่อรายชื่อทุกตำแหน่งทุกวงซึ่งไม่มีชื่อสองคนนี้ เราโทรไปถามซาวด์เอนจิเนียร์ก่อนหน้าเราว่ารู้จักคนคนนี้มั้ย ซึ่งเขาบอกว่ารู้แต่ ไม่ได้มา แปลว่าเขาไม่ได้บังเอิญมาเจอแน่นอน แต่เขามาเพื่อดักรอเรา” แสตมป์เล่า

แสตมป์ บอกต่อว่า อีก 7 วันต่อมา บุคคลทั้งสองคนก็ได้ไปนั่งดักรอผู้บริหารของค่ายเพลงค่ายใหญ่แห่งหนึ่ง เขาไปดักรอผู้บริหารแล้วก็ร้องไห้ พร้อมกับเล่าว่าไปงานเฟสติวัลต่างๆ แล้วรู้สึกไม่ปลอดภัย รู้สึกเหมือนโดนคุกคามจากภรรยาของแสตมป์

หลังจากผู้บริหารค่ายเพลงคนนี้ได้รับฟัง ก็ติดต่อมาฟังความจากฝั่งของแสตมป์และภรรยาด้วย ซึ่งหลังจากได้พูดคุยกัน เขาก็รู้สึกว่าแสตมป์และภรรยากำลังเดือดร้อน จนในปีต่อมา ผู้บริหารคนนี้ก็ได้ช่วยทำหน้าที่เป็นพยานในชั้นศาลด้วย

“เหตุการณ์ที่ธันเดอร์โดม ทำให้ผมตัดสินใจโทรหานักร้องนำของวงนี้ที่เขาสังกัดอยู่ เพื่อจะขอโทษเหมือนกับวงที่แล้วเลย ว่าขอโทษจริงๆ เราร่วมงานด้วยไม่ได้ขอโทษตรงนี้เลย ตราบใดที่ 2 คนนั้นยังอยู่กับคุณเราทำงานด้วยไม่ได้จริงๆ ตลอดการสนทนาก็รู้สึกได้ และแน่ใจได้ว่านักร้องท่านนี้อัดเสียงผมอยู่ตลอด นั่นแปลว่า 2 คนนั้นไปดักไว้ก่อนแล้ว ว่าภรรยาผมไปคุกคามเขา และเขาเชื่อด้วย” แสตมป์ เล่า

“แต่ภรรยาผมจะไปคุกคามเขาก่อนได้อย่างไร? เมื่อทุกครั้งที่เกิดเหตุมันเกิดที่หน้าห้องพักศิลปินผม ภรรยาผมจะไปคุกคามเขาก่อนได้อย่างไร? เมื่อตอนที่เกิดเหตุมันเกิดตอนเวลาสแตนบายทุกครั้งที่ขึ้นโชว์ ภรรยาผมจะไปคุกคามเขาก่อนได้อย่างไร? เมื่อทุกครั้งที่เกิดเหตุเราเช็คอย่างดีแล้วว่าไม่มีพวกคุณ ภรรยาผมจะไปคุกคามเขาก่อนได้อย่างไร? เมื่อเวลาไปไหนมาไหนเราต้องใช้การ์ด 2 คน แต่เขาเดินไปมาไหนก็ได้สบายใจเฉิบ

“แต่สุดท้ายก็แล้วแต่จะเชื่อแบบนั้น ในเมื่อมันไม่มีความปลอดภัยและไม่มีใครช่วยเราได้เราจึงต้องไปช่วยตัวเองบนศาล เพราะไม่เช่นนั้น 2 คนนี้จะไปวาดภาพว่าภรรยาผมเป็นอะไรก็ได้เลย มีหลักฐานมากมายที่คนในวงการเพลงส่งมาให้เรา เพราะเขาไปเล่าให้คนอื่นฟังบอก ‘อีบ้า’ นี่มันเป็นอะไร เราก็เลยโอเค ถ้าแบบนั้นส่งให้ศาลละกัน เพราะการที่จะทำให้น้ำหนักคำพูดของใครสักคนหายไปง่ายที่สุดคือบอกว่าคนนั้นเป็นบ้า เราจึงไปศาลกัน” เขาเล่า

“ในปี 2567 เรื่องที่น่ากลัวที่สุดที่เกิดขึ้นกับครอบครัวผมมันเริ่มขึ้นจากตรงนี้ครับ ระหว่างที่ไปศาลกัน พ่อของจำเลยท่านนี้ เป็นทหารยศพันตรีจากพิษณุโลก มาขึ้นศาลแทนลูกของเขา และก็แบกเอกสารชิ้นใหญ่ในนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับยศ, ผลงาน, เครื่องราชย์ และก็บอกว่าเขากำลังบรรจุเป็นองครักษ์ขอให้ผมกับภรรยาถอนฟ้องลูกของเขาซะ มิเช่นนั้นผมจะโดนคดีทางการเมือง

“นี่คือเรื่องในศาล นอกศาล นายพลท่านนี้ก็เคยขับรถไปที่บ้านแม่ของผม แม่ผมถามว่าเป็นใคร ชื่ออะไรก็ไม่ตอบ เขาบอกเขาเป็นแฟนคลับ และก็ถามว่าบ้านแม่ผมราคาเท่าไหร่ เอาของมาให้แล้วก็ถ่ายรูปแม่ผมเก็บไว้ ภรรยาของนายพลท่านนี้ก็เคยมาดูคอนเสิร์ตผม ปะปนอยู่ในกรุ๊ปโอเพ่นแชท คอยทักไปถามแฟนคลับผมว่า วันนี้ไปไหนวันนั้นไปไหน จนกระทั่งวันนึงที่คดีในศาลมันเดือดสุดๆ แล้วผมจึงต้องทักไปบอกแอดมินว่า ปิดโอเพ่นแชทไปเลย”

แสตมป์ บอกว่า หลังจากนั้นเขาก็ไม่ทำตารางงานให้แฟนคลับรูเเหมือนศิลปินท่านอื่นอีกเลย เพราะไม่รู้ว่าเขาและภรรยาจะถูกคุกคามอีกเมื่อไหร่

“จำเลยท่านนี้ คนต้นเรื่องที่รู้ทุกอย่าง เพราะติดตามผมมาเป็นเวลาสิบกว่าปี แม้กระทั่งสถานที่ที่ไม่ใช่ที่ที่เราเล่น ปั๊มน้ำมันที่เราแวะ สนามบินที่เราไป หน้าโรงแรมที่เราพัก หนักที่สุดคือเคยมานั่งอยู่ข้างๆ เราบนเครื่องบิน”

แสตมป์เล่าและบอกต่อว่า ระหว่างที่เราฟ้องร้องกันเขาก็ยังรับงานอยู่บ้าง โดยมีการ์ด 2 คนมาลาดตระเวน แต่ครั้งหนึ่ง ในเดือนธันวาคมปี 2566 ที่มีผู้ชายคนนึงมายืนตรงหน้าเวที และก็ชูมือถือขึ้นมาเป็นรูปจำเลย สิ่งนี้เลยทำให้แสตมป์ตัดสินใจไม่รับงานเลย จนกว่าศาลจะมีคำสั่งคุ้มครองเขาและภรรยา

“ที่น่ากลัวที่สุด ภรรยาผมถูกแฮ็กไอจี และภรรยาผมรู้ตัวแล้วเขาไปดูหลังบ้านว่าทำอะไรไว้บ้าง พบสิ่งที่น่าตกใจมากคือ มีคนเอาไอจีภรรยาผมไปบล็อคผู้คนมากมาย ที่ภรรยาผมไม่เคยรู้จักมาก่อนในชีวิต และพอภรรยาผมปลดบล็อค และเข้าไปถามว่าเป็นใครมาจากไหน เจอเรื่องที่น่ากลัวที่สุดคือทุกคนเกี่ยวข้องกับจำเลยคนนี้หมดเลย รวมถึงสามีเก่าของจำเลยด้วย

“ถึงจะน่ากลัวขนาดนั้น ภรรยาผมก็สู้ต่อ จนวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 เธอชนะคดีไปได้ด้วยการรับสารภาพโดยจำเลยเอง เพราะยอมจำนนต่อหลักฐาน ในชั้นสืบพยานและยกมือไหว้ภรรยาของผมว่า ขอโทษทุกอย่างที่ผ่านมา และจะไม่ยุ่งกับภรรยาผมอีก มีการลดราคาค่าชดใช้เพราะเขาบอกจ่ายไม่ไหว ภรรยาผมก็ลดให้เลย 10 เท่า และขออย่างเดียวคือ ช่วยออกจากศาลนี้ และไปบอกคนที่คุณใช้เป็นเครื่องมือทั้งหลาย ว่าคุณโกหก เรื่องที่คุณเล่าไม่จริง เขาก็ตกลง โดยเฉพาะแฟนของคุณ จำเลยอีกท่านที่ไม่ได้มาเห็นหลักฐานของศาล เหมือนเขารีบชิงสารภาพไม่ให้แฟนของเขาเห็น ซึ่งจำเลยอีกคนมีอาการโกรธ เกลียดชังภรรยาของผมมากแบบจะฆ่าให้ตาย ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกัน

แสตมป์ เล่าว่า หลังออกจากศาลวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 อีกสองอาทิตย์ เขาก็โดนแขวนด่าในโซเชียลมีเดียอีกเหมือนเดิม โดยคนกลุ่มเดิม เช่นเดียวกับในเดือนตุลาคมที่มีโพสต์โจมตีเขาและภรรยาว่า “ผัวเมียโรคจิต ว่างๆ จูงมือไปหาจิตแพทย์บ้างนะ”

แสตมป์ พูดว่า สถานการณ์ข้างนอกศาล แทบไม่ต่างจากก่อนที่เขาไปที่ศาลเลย แถมยังต้องเจอกับคำขู่ของท่านนายพลคนนั้น

“ผมจึงขอใช้เวทีแห่งนี้นะครับประกาศนะครับบอกทุกคน ให้ทุกคนได้ยินเอาไว้ว่า คนคนนั้น ที่ปั่นเรื่องราวเข้าใจผิด สร้างความเกลียดชังให้กับภรรยาของผม เขายอมแพ้ไปแล้วในศาล ผมไม่รู้ว่าเขาบอกคุณว่าอะไร แต่เขารับสารภาพในศาลไปแล้วว่าเขาออกไปจะไปแก้ให้

“ทุกวันที่ 30 ของเดือนเขาชำระผ่อนค่าเสียหายให้กับภรรยาผมอยู่ เดือนที่แล้วผ่อนช้าไป 26 นาที ภรรยาผมสามารถไปที่กรมบังคับคดีและขอให้ยึดทรัพย์สินทั้งหมดในชีวิตของคนคนนี้ได้เลยในนาทีนี้เลย แต่เขาก็ยังไม่ทำ เขาให้โอกาสคุณเสมอ ดังนั้นคนที่จะโพสต์ด่าผมและภรรยา คนที่จะบุกรุกเข้ามาหาภรรยาผมหลังเวที พิจารณาดูให้ดี เพราะเราจะไม่เจรจาอีกแล้ว ต่อไปเราก็จะสู้กันด้วยศาลอย่างเดียว

“ผมฝากไปถึงท่านนายพลนะครับ ผมเข้าใจท่านดี ผมนับถือท่านที่ท่านปกป้องครอบครัวของท่าน ผมเองก็ทำเช่นนั้นอยู่ แต่จะดีกว่านี้ไหมถ้าหากว่าแทนที่จะรักลูกของท่านด้วยการมาขึ้นศาลแทนเขาและให้เขารอในรถ บุกรถไปบ้านแม่ผม ท่านรักลูกของท่านด้วยการดูแลให้เขาอยู่ในบ้าน ไม่ให้มาหาเรื่องภรรยาผม ไม่ให้มาใส่ร้ายใส่ความภรรยาผมอีก และคดีที่ท่านข่มขู่ผมไว้ ก็คงต้องสู้กันไป พอถึงวันนั้นผมคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องเปิดศึกในสื่อ และทุกคนจะรู้ว่าท่านเป็นใคร

“สุดท้ายนะครับผมขอขอบคุณทุกคนที่ สนับสนุนผมและครอบครัวมาตลอด 20 ปี” แสตมป์กล่าว