ล่าตัวคนร้ายบุกชิงทอง 113 บาท มูลค่า 5.4 ล้านบาท เร่งพิสูจน์ทราบบุคคล คาดออกหมายจับเร็วๆนี้ ตรวจสอบพบร้านทองเคยถูกก่อเหตุมาแล้ว 6 ครั้ง ในรอบ 10 ปี

วันที่ 4 ก.พ. 2568 ที่ตำรวจภูธรภาค 1 พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยกับสื่อมวลชนหลังการประชุมติดตามความคืบหน้าคดีคนร้ายบุกชิงทองในร้านทองกลางห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านคลอง 5 อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ซึ่งคนร้ายได้ทองรูปพรรณไปประมาณร้อยกว่าบาทหรือคิดเป็นเงินประมาณ 5,422,890 บาท

 

 

โดย พล.ต.ท.อัคราเดช ระบุว่า คดีดังกล่าวทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้ตนมาดำเนินการติดตามความคืบหน้าคดี โดยนอกจากจะมีตำรวจภูธรภาค 1 และตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานีรับผิดชอบคดีแล้ว ทางตำรวจสอบสวนกลางยังได้ส่งตำรวจกองปราบปรามเข้ามาร่วมคลี่คลายคดีนี้ด้วย

สำหรับการประชุมในวันนี้นั้น พบว่ามีแนวทางการสืบสวนและพยานหลักฐานที่เป็นประโยชน์และคืบหน้าทางคดีเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างการสืบสวนเพื่อสามารถพิสูจน์ทราบตัวคุณร้ายให้แน่ชัด จึงยังระบุไม่ได้ว่าจะดำเนินการออกหมายจับเมื่อไหร่ และยังไม่สามารถเปิดเผยรูปพรรณสัณฐานของคนร้ายในชั้นนี้ได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อรูปคดีหรือคนร้ายไหวตัวทัน แต่จะดำเนินการเร่งสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานให้รวดเร็วที่สุด ซึ่งหากดำเนินการออกหมายจับแล้ว ทางตำรวจจะเร่งประชาสัมพันธ์รูปพรรณสัณฐานของคนร้ายให้พี่น้องประชาชนทราบทันที

 

 

ทั้งนี้จากพฤติการณ์คาดว่า คนร้ายน่าจะก่อเหตุเพียงคนเดียว โดยจากการสอบปากคำพนักงานในร้าน พบว่าคนร้ายได้พูดจาให้พนักงานนั่งอยู่เฉย ๆ คนร้ายไม่ได้ข่มขู่ว่าจะใช้อาวุธ หรือมีการโชว์อาวุธที่ติดอยู่กับตัวแต่อย่างใด ซึ่งโดยวิญญูชนทั่วไป เชื่อได้ว่าคนร้ายน่าจะมีอาวุธติดตัว จึงให้พนักงานร้านเกิดความเกรงกลัวว่าจะถูกประทุษร้ายในเดี๋ยวนั้นและยอมทำตามนั่งลงกับพื้นแต่โดยดี นั่นจึงทำให้คนร้ายเข้าข่ายมีความผิดฐานชิงทรัพย์ เพียงแต่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ

ซึ่งหลังก่อเหตุ คนร้ายได้ใช้รถจักรยานยนต์ขับหลบหนีไป แต่ยังไม่สามารถตอบได้ว่า ขณะนี้คนร้ายยังอยู่ในพื้นที่หรือไม่ จึงได้ให้ฝ่ายสืบสวนเร่งไล่กล้องวงจรปิดเพื่อติดตามตัวคนร้ายอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวสอบถามว่า จากพฤติการณ์คดีดังกล่าวคาดว่าพนักงานในร้านอาจจะมีส่วนรู้ร่วมเห็นกับคนร้ายหรือไม่ พล.ต.ท.อัคราเดช ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าอาจจะมีคนในร้านมีส่วนรู้เห็นด้วย

พล.ต.ท.อัคราเดช ระบุเพิ่มเติมว่า จากสถิติในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 1 พบว่าร้านทองแบรนด์ดังกล่าวเคยถูกก่อเหตุชิงทรัพย์ถึง 6 ครั้งในรอบ 10 ปี ซึ่งหลังจากนี้จะต้องพูดคุยหารือกับผู้บริหารร้านทองเพื่อปรับแนวทางในการเพิ่มการรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งถือเป็นมาตรการสำคัญที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้กำชับเรื่องนี้อยู่แล้ว โดยหลังจากนี้จะให้ตำรวจสายตรวจแต่ละท้องที่เพิ่มความถี่และกำลังในการตรวจตรา ความปลอดภัยของร้านทองทั้งภายในและภายนอกห้างสรรพสินค้าอย่างเต็มที่