อ.ปานเทพ - อัจฉริยะ เตรียมรับมอบมือถือแตงโม ส่งดีเอสไอใช้ไขคดี ย้ำคลิปวิดีโอ 2 คลิป เป็นคลิปจริงในวันเกิดเหตุจริง
วันที่ 6 ก.พ. ที่บ้านพระอาทิตย์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีบังแจ็ค ที่จะส่งมอบโทรศัพท์มือถือของแตงโมให้เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ไปตรวจสอบ โดยระบุว่าเรื่องนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อ 3 ปีที่แล้ว คุณแม่ของแตงโมยินยอมส่งมอบโทรศัพท์มือถือของแตงโมให้บังแจ็ค ซึ่งบังแจ็คได้กู้ไฟล์ที่ถูกลบออกไปกลับมาใหม่ทั้งรูปภาพและวิดีโอ ซึ่งก่อนหน้านี้ตำรวจนำโทรศัพท์ของแตงโมไปตรวจสอบเกือบ 70 วัน และส่งคืน หลังจากนั้นพบว่าข้อมูลในโทรศัพท์ถูกลบ จึงส่งมอบโทรศัพท์เครื่องนี้ให้บังแจ็คโดยตรง และพบว่ามีข้อมูลที่น่าสนใจหลายประเด็นโดยเฉพาะการพิสูจน์ทราบว่าข้อมูลเหล่านั้นมีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเราได้พิสูจน์จาก พิกัดของโทรศัพท์เทียบกับ GPS ของเรือ พบว่าข้อมูลสอดรับกัน และมีพิรุธหลายประเด็น บังแจ็คจึงให้ความร่วมมือและส่งมอบโทรศัพท์มือถือของแตงโมกลับคืน
ชมคลิป : GPS-พิกัดมือถือ "แตงโม" ตัวชี้วัดคดี ชี้ชัดปมดับมี "พิรุธ" ซ่อนอยู่?
ซึ่งข้อมูลได้ถูกกลั่นกรองผ่าน นายแพทย์หมอธวัชชัย กาญจนรินทร์ อดีตศัลยแพทย์ โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ แล้ว ซึ่งบังแจ็คไว้ใจส่งมอบโทรศัพท์ให้เพียงแค่ นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม , อาจารย์ปานเทพ และหมอธวัชชัย 3 คนนี้เท่านั้น หมอธวัชชัยจึงออกค่าใช้จ่ายส่วนตัว เดินทางไปรับโทรศัพท์จากบังแจ็คที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งจะเดินทางมาถึงประเทศไทยในคืนนี้ และจะส่งมอบโทรศัพท์ให้เจ้าหน้าที่เอสไอ โดยมีการปิดถุงมาอย่างดี โดยยืนยันว่าหมอธวัชชัย ไม่แตะต้องโทรศัพท์เลย โดยจะเชิญสื่อมวลชนเป็นสักขีพยานในการมอบโทรศัพท์ตอนตี 1 ของวันที่ 7 ก.พ. ด้วย
ส่วนคลิปวิดีโอใหม่ล่าสุด 2 คลิป ที่นายปานเทพ เผยแพร่เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ยืนยันว่าเป็นคลิปที่พบในโทรศัพท์ของแตงโมจริง ระบุวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 22.19 น. และ 22.22 น. ซึ่งเป็นคลิปที่ถ่ายขณะอยู่บนบก แต่คำให้การของคนบนเรือขัดแย้งกับคลิปวิดีโอว่าเวลาดังกล่าวอยู่บนเรือ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามีขบวนการพยายามดิสเครดิตของบังแจ็ค เพื่อไม่ให้เชื่อถือหลักฐานชิ้นนี้ และจากการตรวจสอบพบว่าเป็นบัญชีที่ไม่มีตัวตน เป็นบัญชีปลอม และเมื่อสืบค้นบัญชีเหล่านี้ย้อนหลังพบว่าเป็นขบวนการเครือข่ายเดียวกันกับกรณีที่อ้างว่ามีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเกี่ยวข้องเรื่องนี้
ส่วนกรณีระหว่างนายอัจฉริยะ และ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ นายอัจฉริยะ ยอมรับว่าเมื่อสามปีที่แล้วตนได้รับวงจรปิดจากนายมงคลกิตติ์จริง แต่ไม่เคยนำไปใช้ที่ศาลอาญา ซึ่งนายมงคลกิตติ์พูดไปเรื่อย ตนใช้คลิปจากสื่อมวลชนเป็นหลัก หลังจากนั้นลูกน้องของนายมงคลกิตติ์ก็ถูกดำเนินคดี 1 คน ตนได้จ่ายเงิน 1.5 แสนบาท เพื่อจ้างทนายความให้มาช่วยต่อสู้เรื่องคดีให้กับลูกน้องของนายมงคลกิตติ์
ส่วนเหตุผลที่ไม่สามารถร่วมทีมกับนายมงคลกิตติ์ได้ เพราะว่ามีแนวทางและเป้าหมายในการดำเนินการต่างกัน เพราะนายมงคลกิตติ์ให้สัมภาษณ์ว่าเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ เพราะเวลาในการสืบสวนมีน้อย ซึ่งขัดแย้งกับแนวทางของคณะทำงาน แต่ก็ยังได้แนะนำว่าแม้เป้าหมายการทำงานจะต่างกัน ก็ยังมีช่องทางอื่นถ้าหากมองว่าเป็นคดีฆาตกรรมและจะต่อสู้เพื่อแตงโมจริง
และก่อนหน้านั้นที่ตนเคยไปขึ้นศาลได้พบกับทนายกฤษณะ ศรีบุญพิมพ์สวย ทนายความของคุณแม่แตงโม ในช่วงเย็น จึงได้พูดคุยกัน นายอัจฉริยะ ยืนยันว่านายมงคลกิตติ์เป็นคนขัดขวางให้ทนายกฤษณะไปอยู่กับตนเอง วันต่อมาคุณแม่ของแตงโมก็ถอนฟ้อง
นายอัจฉริยะ เปิดเผยเพิ่มเติมอีกว่า ก่อนหน้านี้มีนักการเมืองที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีแตงโมเพื่อช่วยเหลือคนบนเรือ จะมีแค่อดีต สว. แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่ายังมี สส. ซึ่งปัจจุบันเป็นนักการเมืองใหญ่ระดับประเทศที่ตำรวจและดีเอสไอเกรงใจ โดยช่วงเวลาเกิดเหตุพบว่านักการเมืองคนนี้โทรศัพท์เข้ามาหาคนบนเรือหลายสาย ซึ่งตนก็รู้จักกับนักการเมืองคนดังกล่าวและได้พูดคุยกันว่า นักการเมืองคนนี้ยินดีให้ความร่วมมือในการสอบสวนกับเจ้าหน้าที่
นอกจากนี้ นายปานเทพ ยังตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าหากอยากเรียกความยุติธรรมให้แตงโม เต้และแม่สามารถดำเนินการได้ 2 ส่วน แม่ในโจทก์ร่วม หากมีพยานหลักฐานใหม่สามารถไปเปลี่ยนข้อกล่าวหาได้ หรือ 2 นำพยานหลักฐานทั้งหมดให้นำไปมอบให้กับ DSI และตั้งข้อสังเกตอีกว่า เต้นำเรื่องของแตงโมมาต่อรองเพื่ออะไรหรือไม่
และช่วงท้ายของการแถลงข่าวนายปานเทพได้โชว์รูปภาพและคลิปวิดีโอ 2 คลิป ส่วนนายอัจฉริยะได้เปิดภาพนิ่ง มีมือของบุคคลหนึ่งพร้อมผงสีขาวบนโต๊ะและหลอดพลาสติก โดยระบุว่าภาพนี้พบในโทรศัพท์มือถือของแตงโม
และวันที่ 17 กุมภาพันธ์ เวลา 09.00 น. ที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอจะจำลองเหตุการณ์ตกเรืออีกครั้ง แต่จะไม่ใช่ลักษณะตกลงไปในน้ำ แต่จะใช้เครื่องยนต์เรือชนิดเดียวกันในวันเกิดเหตุมาพิสูจน์แทน