"ทนายเจมส์" ชี้กรณี "ลำไย ไหทองคำ" ถูกเรียกเงินสองล้านบาทอาจจะเข้าข่ายถูกรีดทรัพย์ สามารถดำเนินคดีทางอาญาได้ นอกจากนั้นถ้าหากมีการเสื่อมเสียชื่อเสียง หรือมีผลต่องานก็ยังสามารถเรียกค่าเสียหายได้เช่นกัน

จากกรณีการกระแสข่าวของ ลำไย ไหทองคำ ที่เป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลขณะนี้นั้น ในกรณีที่แฟนของทางฝ่ายแดนซ์เซอร์ชาย ที่มีข่าวกับลำไย ได้มีการเรียกเงินไปเป็นจำนวนสองล้านบาทนั้น จะเข้าข่ายมีมีความผิดในด้านคดีใดหรือไม่ ในวันนี้ทีมข่าวได้เดินทางไปพบกับ นายนิติธร แก้วโต (ทนายเจมส์)  เพื่อสอบถามและปรึกษาในด้านข้อกฎหมาย ว่าจะมีข้อใดเข้าข่ายในกรณีดังกล่าวหรือไม่ซึ่งทางด้าน ทนายเจมส์ ได้ให้ข้อมูลและแสดงความคิดเห็นกับทีมข่าวว่า

 

“จากกรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้นนั้น  ต้องบอกก่อนว่ามันจะมีมีความผิดอยู่สองส่วน โดยส่วนที่เป็นคดีอาญานั้น จะอยู่ในฐานความผิดที่เรียกว่ารีดเอาทรัพย์ นั่นหมายถึงการที่บุคคลคนหนึ่งรู้ความลับของบุคคลอื่น แล้วมีการไปขู่เข็ญให้จ่ายเงินเพื่อแลกกับการไม่เปิดเผยความลับ ซึ่งกรณีแบบนี้เรียกว่าการ รีดเอาทรัพย์ ซึ่งจะมีมีโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งถึง 10 ปี และ ปรับเป็นจำนวนเงิน 20,000 ถึง 200,000 บาท ซึ่งในส่วนนี้คือพื้นฐานความผิดของอาญา

 

และในอีกส่วนหนึ่งคือ ถ้ามีความเสียหายในส่วนอื่นเกิดขึ้นอีกเช่น มีผลทำให้รายได้ของเขาลดลง หรือมีผลกระทบต่อหน้าที่การงานของเขา ก็มีสิทธิ์ที่จะต้องจ่ายเงินคืนมากกว่า 2,000,000 ที่เคยเรียกเขาไป

 

ซึ่งจากกรณีดังกล่าวนั้นในความผิดทางอาญาไม่จำเป็นต้องมีการแฉในเรื่องความลับของทางฝ่ายผู้เสียหาย  เพียงแค่ไปเรียกเงิน และมีการกล่าวอ้างว่าถ้าหากจ่ายเงินก็จะไม่มีการแฉเรื่องราวความลับต่างๆ เท่านี้ก็มีความผิดแล้ว ซึ่งกรณีแบบนี้เป็นการขู่เพื่อแลกกับการไม่แฉภาพลักษณ์คลิปลับ ซึ่งกรณีนี้เป็นความผิดทางอาญาทันที ซึ่งถ้าหากยังไม่มีการจ่ายเงินจะเป็นความผิดฐานพยายาม แต่ถ้าหากมีการจ่ายเงินแล้วเป็นความผิดสำเร็จโดยทันที

 

ในส่วนความผิดทางด้านผิดสัญญาทางแพ่งหรือการละเมิดนั้น ก็จะมีอยู่สองส่วน ในส่วนที่หนึ่งการที่คุณไปสัญญาว่าจะไม่เปิดเผยความลับแต่กลับมีการไปเปิดเผยความลับ ในส่วนนี้ก็จะต้องมีการคืนเงินจำนวนสองล้านบาทเพราะว่ามีการผิดสัญญา

 

ในส่วนที่สอง ถ้าหากทางฝ่ายคุณลำไยมีความเสียหายทางด้านชื่อเสียง มีการถูกแคนเซิลงาน และเสียหายทางด้านรายได้ ในส่วนนี้ทางฝ่ายคู่กรณีก็จะต้องมีการชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวให้กับทางด้านคุณลำไย 

 

ซึ่งจากกรณีดังกล่าวนั้นตนมีความเห็นส่วนตัวด้วยการวิเคราะห์จากทางสื่อต่างๆ  ซึ่งในเรื่องข้อเท็จจริงนั้นตนเองไม่ทราบว่าทั้งสองฝ่ายมีการตกลงกันอย่างไร เพราะมันมีข้อมูลบางอย่างออกมาว่าการที่เขาขอเงินจำนวนสองล้านบาทไปนั้น เพื่อเป็นค่าความเสียหายต่อจิตใจของเขา ซึ่งตรงนี้มีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือการที่สามีภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน และเป็นแค่แฟนกัน ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้เงินตรงนี้

 

เว้นแต่ว่ามีการจดทะเบียนกันและไปมีชู้   ตรงนี้จึงจะสามารถเรียกเงินจากทางฝ่ายชู้ได้ ซึ่งตรงนี้ถ้าหากทางฝ่ายคุณลำไยมีการยินดีที่จะให้เงินจำนวนดังกล่าวก็จบกันไป แต่ในเงื่อนไขตรงนี้นั้นจะต้องไม่มีการขู่เพื่อรีดทรัพย์ ทั้งนี้ก็จะเป็นเพียงแค่คดีทางแพ่งปกติทั่วไปเพียงเท่านั้น”