ทนายโต้ราชทัณฑ์ ยัน อดีตผกก.โจ้ ไม่สมัครใจขอขังเดี่ยว-ไม่ป่วยจิตเวช
เมื่อเวลา 13.10 น. วันที่ 8 มี.ค.68 บริเวณด้านหน้าเรือนจำกลางคลองเปรม ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเจ้าหน้าที่เรือนจำกลางคลองเปรม ได้นำร่างของพ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ อดีตผู้กำกับโจ้ ไปชันสูตรพลิกศพที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม โดยมีญาติที่เดินทางออกมาจากภายในเรือนจำ และปฏิเสธให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน แต่ได้ให้นายวีรศักดิ์ นาคิน ทนายความของอดีตผู้กำกับโจ้ ชี้แจงและนำเอกสารมอบให้กับสื่อมวลชนแทน
ด้าน นายวีรศักดิ์ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ผู้กำกับโจ้ได้ฝากขอโทษพ่อแม่ของผู้เสียชีวิต ในคดีที่เกี่ยวกับยาเสพติดที่มีการคลุมถุงดำ โดยในวันนี้ครอบครัวของผู้กำกับโจ้เสียใจ และยังติดใจกับสาเหตุและแรงจูงใจการเสียชีวิต เนื่องจากก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 14 ม.ค. ทางญาติได้มอบหมายให้ตนไปแจ้งความที่สน.ประชาชื่น เรื่องผู้กำกับโจ้ ถูกเจ้าหน้าที่เรือนจำทำร้ายร่างกาย โดยในเอกสารระบุชื่อผู้คุมที่เป็นคู่กรณีไว้
ต่อมา จึงมีการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยอดีตผู้กำกับโจ้ตามระเบียบ โดยแจ้งว่าอดีตผู้กำกับโจ้ขัดขืนคำสั่งเจ้าหน้าที่ จนทำให้มีการย้ายแดนขังและห้องขังแยก ซึ่งเป็นไปตามคำสั่งผบ.เรือนจำกลางคลองเปรม ที่ไม่ได้เกิดจากความสมัครใจของอดีตผู้กำกับโจ้ แต่ทางเจ้าหน้าที่อ้างว่าผู้กำกับโจ้เต็มใจขอแยกห้องขังเดี่ยว ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากตนไม่เห็นเอกสารลงชื่อยินยอมจากอดีตผู้กำกับโจ้ ซึ่งการแจ้งความมีครั้งเดียว แต่ทางครอบครัวได้ไปยื่นเรื่องร้องเรียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อร้องขอความเป็นธรรมอีกหลายหน่วยงาน
ภายหลังจากแจ้งความครั้งแรก อดีตผู้กำกับโจ้ต้องการญาติกับทนายความเข้าไปด้วย แต่ทางเรือนจำไม่อนุญาต ครั้งที่สองจึงมีการยื่นใหม่โดยระบุชื่อทนายและญาติ ทางเรือนจำก็แจ้งว่าขอตรวจสอบก่อนว่าในหนังสือมอบอำนาจมีการเซ็นจริงหรือไม่ ส่วนกรณีที่มีรายงานเรื่องรอยฟกช้ำตามร่างกายของอดีตผู้กำกับโจ้ ตนรับทราบใบความเห็นแพทย์แล้ว
ส่วนที่ระบุว่าอดีตผู้กำกับโจ้เป็นผู้ป่วยจิตเวชนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากมีการเข้าเยี่ยมผู้กำกับโจ้มาเป็นเวลานาน ไม่มีการพูดถึงเรื่องนี้ โดยล่าสุดเมื่อวานนี้ญาติก็ได้เข้าเยี่ยม ก็ยังพบว่ามีอาการปกติ และยังมีการพูดคุยถึงการต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ เนื่องจากในศาลชั้นต้นสั่งจำคุกตลอดชีวิต รวมทั้งยังพูดถึงการใช้ชีวิตในอนาคตหลังออกจากเรือนจำ และที่ผ่านมาตนเองก็ได้เข้าเยี่ยมมาเป็นเวลานาน หลังจากมารับช่วงต่อเป็นทนายเมื่อปี 2566 ก็พบว่าผู้กำกับโจ้ไม่ได้มีความเครียดหรือกังวล ที่จะนำไปสู่การทำร้ายตัวเอง เพราะคดีเรื่องคลุมถุงดำถูกพิพากษาไปแล้ว ซึ่งคดีอยู่ชั้นอุทธรณ์ แต่ส่วนคดีที่อยู่ ป.ป.ช. ขั้นตอนนี้ระงับการสอบสวนชั่วคราว จึงไม่มีแรงจูงใจที่จะทำให้อดีตผู้กำกับโจ้ฆ่าตัวตาย ซึ่งมูลเหตุอาจเชื่อว่าอาจจะถูกบีบให้ยินยอมเรื่องการสอบวินัย หลังจากที่ไปแจ้งความ