"บีม ศรัณยู" ให้ข้อมูลดีเอสไอ ยัน "กระติก" บอกรับงานรีวิวเรือ เอ๊ะ! พิรุธ ไม่กระตือรือร้นหาเพื่อนเหมือนรู้ว่าตายแล้ว

วันที่ 10 มี.ค. 2568 นายศรัณยู ประชากริช หรือบีม เดินทางมาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้าให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่กรณีการเสียชีวิตของแตงโม นิดา โดยเปิดเผยว่า ในคืนวันที่ 24 ก.พ. 2565 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ ตนได้รับการติดต่อจากโบว์ สุรัตนาวี หรือโบ TK ในช่วงเวลาประมาณ 23.00 น. หรือหลังจากนั้นไม่เกิน 15 นาทีว่าแตงโมตกเรือ ให้ไปช่วยหาที่บริเวณสะพานพระราม 7 ตนจึงรีบนำเจ็ตสกีส่วนตัวไปช่วยค้นหา

โดยเมื่อไปถึงจุด ได้เจอกับนายปอซึ่งได้ชี้ไปที่กลางแม่น้ำ พร้อมระบุว่า แตงโมตกเรือบริเวณนั้น ซึ่งต่อมาพบว่า จุดที่นายปอชี้ให้ค้นหา ห่างจุดที่เจอร่าง นอกจากนี้ นายศรัณยู ยังสังเกตด้วยว่า นายปอมีลักษณะตาโตและพูดย้ำๆ ตลอดเวลาว่าแตงโมตกท้ายเรือ แตงโมไปฉี่ท้ายเรือ ส่วนเรื่องอาการมึนเมาตนคิดว่านายปอน่าจะมีอาการเมาแอลกอฮอล์ ส่วนจะใช้สารเสพติดหรือไม่ตนไม่ทราบ

ส่วนกระติกได้มีการพูดว่า แตงโมไปรีวิวเรือ ซึ่งตนก็แปลกใจว่า ทำไมการถ่ายรีวิวเรือถึงไม่มีช่างภาพมาด้วยแต่ถ่ายกันเอง

นายศรัณยู บอกด้วยว่า ในวันนั้นจู่ๆ กระติกก็พูดขึ้นมาว่า แตงโมอาจจะไปติดที่ไหนสักที่ ขึ้นฝั่ง และนั่งแท็กซี่กลับบ้านไปแล้ว ซึ่งตนกับภรรยาจึงตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมเพื่อนถึงไม่มีความกระตือรือร้นที่จะค้นหา เหมือนกับรู้อยู่แล้วว่าเพื่อนเสียชีวิตแล้ว เพราะหากเป็นตนเอง ต่อให้มีเรื่องแอลกอฮอล์หรือยาเสพติดก็สำคัญเท่ากับการช่วยชีวิตเพื่อนที่ตกน้ำ

นายศรัณยู เล่าด้วยว่า ตนใช้เวลาในการค้นหาจนถึงประมาณตีหนึ่งก่อนไปที่อู่เรือ NBC และไปเจอโบ TK ที่นั่น ส่วนประเด็นที่บอกว่าโบ TK เปลี่ยนคำพูดนั้น นายศรัณยู บอกว่า เป็นกรณีที่โบ TK ห่วงภาพลักษณ์ของแตงโม จึงไม่อยากให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าแตงโมไปฉี่ท้ายเรือ

อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ ส่วนตัวก็ไม่เชื่อว่าแตงโมจะไปฉี่ท้ายเรือตามที่คนบนเรือพูด

จากนั้น นายศรัณยู ได้เข้าไปให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ โดยใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง จึงออกมาให้สัมภาษณ์อีกครั้ง เปิดเผยว่า ในการเข้าให้ปากคำในฐานะพยาน ตนได้ให้ข้อมูลวันเกิดเหตุ พูดกับคนในที่เกิดเหตุอย่างไร และให้ยกคำพูดที่พูดตามจริงในวันดังกล่าว ซึ่งตนมองว่าการสอบปากคำในวันนี้ละเอียดในเรื่องของไทม์ไลน์ และนำเวลาที่ตนบอกไปเทียบเคียง โดยใช้การวางไทม์ไลน์และใช้หลักฐานเข้ามาแนบเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด

นอกจากนี้ ยังมีรายละเอียดเพิ่มเติมที่เกี่ยวกับคำพูดของกระติกว่า มีการทิ้งขวดไวน์หรือไม่ หรือคนบนเรือในวันเกิดเหตุมีการดื่มแอลกอฮอล์หรือของมึนเมาหรือไม่ ซึ่งตนก็ยืนยันว่า กระติกได้บอกกับตนตามข้อมูลข้างต้นจริง

นายศรัณยู ยังตั้งข้อสงสัยว่า หากกรณีนี้เป็นอุบัติเหตุ ทำไมถึงมีหมายเลขโทรศัพท์เบอร์สวยซึ่งส่วนใหญ่เป็นของผู้หลักผู้ใหญ่ โทรหาคนบนเรือหลายสิบสาย เพราะหากเกิดอุบัติเหตุจริง ต้องเลือกโทรหาตำรวจ กู้ภัย หรือครอบครัว ซึ่งตนก็มองว่าเป็นเรื่องที่แปลก

ส่วนกรณีที่ตนเคยไปออกรายการร่วมกับนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม ในช่วงหลังเกิดเหตุ ยืนยันว่า ไม่ได้สนิทสนมกันแต่อย่างใด แต่ไปออกรายการด้วยกันเพราะกรณีของแตงโมเท่านั้น ซึ่งในช่วงหลังรายการ ท่าทางทนายตั้มก็จะพูดเสมือนทีเล่นทีจริง ซึ่งตนมองว่าเป็นพฤติกรรมที่ไม่น่าเชื่อถืออยู่แล้ว เพราะไม่ได้พูดหมดเปลือก ตนจึงไม่เชื่อถือในคำพูดของทนายคนดังกล่าว แต่ส่วนตัวทนายคนดังกล่าวจะรู้ข้อมูลเชิงลึกจริงหรือไม่ตนก็ไม่ทราบข้อเท็จจริง

ส่วนการแล่นเรือของเรือลำเกิดเหตุในวันดังกล่าว นายศรัญยู มองว่า มีพฤติกรรมที่ผิดปกติ เพราะหากดูการแล่นเรือที่จอดบ่อยครั้ง ทั้งที่ไม่ใช่จุดสำคัญหรือจุดท่องเที่ยว อย่างเช่นวัดค้างคาว คนปกติก็จะไม่เลือกแวะ เพราะจุดนั้นเป็นประตูน้ำ รวมถึงจุดต่างๆ หากไม่ระวังอาจเกิดอันตรายได้ นอกจากนี้ หากมีการจอดเรือกลางลำน้ำและเทียบเรือกัน แล้วมีการขนย้าย นายศรัณยูบอกว่าทำได้ และใช้เวลาไม่ถึง 1 นาที

สำหรับประเด็นภาพที่มีการตัดต่อถูกกล่าวหาว่า ตัดต่อภาพกระติกและแตงโมนั้น นายศรัณยูบอกว่า ตนก็มองเช่นเดียวกันว่าภาพดังกล่าวลอยจนน่าสงสัย อีกทั้งในวันเกิดเหตุ ยังตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมคนบนเรือถึงเลือกที่จะคุยกับทนายมากกว่าการให้ข้อมูล หรือคุยกับตำรวจและกู้ภัยแทน

สุดท้ายนายศรัณยูมองว่า คณะสืบสวนของดีเอสไอชุดนี้ไม่มีความผิดพลาดแน่นอน และการสืบสวนครั้งนี้ไม่ได้ตั้งธงประเด็นแค่อุบัติเหตุ แต่ยังมีประเด็นเรื่องของการเสียชีวิตจากอะไร ตนมองว่าประชาชนน่าจะไว้วางใจได้ และเชื่อว่าทุกอย่างจะออกมาอย่างเป็นธรรม

"บีม ศรัณยู" ให้ข้อมูลดีเอสไอ เผยจุดเอ๊ะ "กระติก-คนบนเรือ"