อัจฉริยะ ซัด ภาค 1 เข้าทาง? หลังส่งหนังสือแย้ง DSI ไม่มีอำนาจเรียกสอบพยาน ขณะที่ ทนายเดชา สวนกลับทันควัน

จากกรณีที่ พ.ต.อ.วิทิต จันทร์เอี่ยม รอง ผบก.สส.ภ.1 ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนภาค 1 เป็นตัวแทนไปยื่นหนังสือถึงอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม โดยอ้างถึงหนังสือของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่เชิญมาให้ถ้อยคำ และส่งมอบพยานหลักฐาน ที่ออกโดย พ.ต.ต.ณฐพล ให้ดำเนินการแสวงหาข้อมูล ข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานเพิ่มเติมในคดีการเสียชีวิตของ แตงโม นิดา นั้น

ต่อมา น้องแตงกวา จิณห์นิภา บัวแสงใส ทีมข่าวออนไลน์ช่อง 8 โทรศัพท์สอบถาม นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เปิดเผยว่า ทั้งตำรวจภูธรภาค 1 และทนายคนดัง ควรไปศึกษากฎหมายของ DSI ให้ดีก่อน โดยเฉพาะพ.ร.บ.กรมสอบสวนคดีพิเศษ 2547 มาตรา 24 (4) เขียนไว้ชัดเจนว่า ให้มีหนังสือสอบถาม หรือเรียกบุคคลใด มาเพื่อให้ถ้อยคำ ส่งคำชี้แจงเป็นหนังสือ หรือส่งบัญชีเอกสาร หรือหลักฐานใดใดมาเพื่อตรวจสอบ หรือเพื่อประกอบการพิจารณา เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจดังกล่าวนี้ นอกจากนี้ยังมีบทลงโทษ สำหรับพ.ต.อ.วิทิต ที่ส่งตัวแทนมามอบหนังสือเมื่อวานนี้ โดยเป็นบทลงโทษตามมาตรา 41 ผู้ใดไม่ให้ความสะดวก หรือไม่ให้ถ้อยคำ หรือไม่ส่งบัญชีเอกสาร หรือหลักฐานใดใดแก่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษตามมาตรา 24 วรรค 4 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งทั้ง 2 คนที่พูดมั่ว รู้ไม่จริง ทำให้สังคมสับสน ภาค 1 เอง ก็ต้องไปศึกษากฎหมายของดีเอสไอให้ดี ถ้าไม่มาก็ดีแล้ว บอกไว้เลยว่า "เข้าทางตีน" และทำให้สังคมมองว่ายิ่งเป็นพิรุธขึ้นไปอีก

สำหรับการส่งตัวแทนมายื่นหนังสือ มองว่าเป็นการข่มขู่หรือไม่หรือไม่นั้น นายอัจฉริยะ เผยว่า แบบนี้เรียกว่า "โชว์โง่" กล่าวหาว่าดีเอสไอไม่มีอำนาจในการออกหมายเชิญ ดังนั้นหากสุจริตจริงก็ต้องให้ความร่วมมือ เหมือนกับพ.ต.อ.วิชัย ที่ดีเอสไอนัดหมายเชิญมาให้ข้อมูล วันที่ 12 มีนาคม แต่ก็ทำหนังสือชี้แจงขอเลื่อนออกไป ซึ่งสามารถทำได้ แต่ขณะเดียวกันด้านพ.ต.อ.วิทิต กลับให้ใครก็ไม่รู้ ไม่ได้เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของคดีมายื่นหนังสือ อยากถามว่าคนที่เป็นตัวแทนมายื่น ได้รับมอบอำนาจจากพ.ต.อ.วิทิต มาหรือเปล่า เอาเวลาราชการมายื่นขออนุญาตผู้บังคับบัญชาหรือยัง

โดยพ.ต.อ.วิทิต ก็เป็นฝ่ายสืบสวนของการทำคดีแตงโมในชุดแรก แต่กลับมาบอกว่าสืบสวนไม่มีอำนาจ แต่ทำไมเวลาคุณทำคดีแตงโมถึงกลับเข้าไปยุ่งได้หมด และมันมีกฎหมายข้อไหนที่สามารถเข้าไปยุ่งหรือแทรกแซงการทำงานของพนักงานสอบสวนได้

ซี่งหาก พ.ต.อ.วิทิต ไม่มา ก็จะไปแจ้งความว่าขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามมาตรา 41 รวมถึงคนที่มายื่นหนังสือด้วย แต่หลังจากนี้ดีเอสไอก็สามารถเรียกพยานเข้าให้ข้อมูลได้ตามปกติ

ทั้งนี้ นายอัจฉริยะ ยังเผยว่า ดีเอสไอ เป็นคนที่มีความรู้กฎหมาย เพราะมาจากตำรวจเหมือนกัน ไม่ได้โง่ถึงขนาดออกหมายเรียกใครมาแล้วทำให้ตัวเองถูกดำเนินคดีตามมาตรา 157 อย่างที่ทนายบางคนพูด

ทั้งนี้ตนอยากฝากบอกไปถึงทนายคนดังกล่าวว่า อย่าอิงตำรวจภาค 1 จนเกินงาม สิ่งสำคัญคือหากไปอ่านพ.ร.บ.กรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 และจะไม่กล้าโพสต์เลย เพราะวันนี้การโพสต์ข้อมูลออกไปเหมือนเป็นการเรียกรถทัวร์มาลง ตนมองว่าพฤติกรรมต้องมีความเป็นกลางด้วย

*ทนายเดชา ยัน DSI ต้องรับเป็นคดีพิเศษก่อน*
ต่อมาน้องแตงกวา จิณห์นิภา ติดต่อไปที่ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ เพื่อสอบถามในประเด็นดังกล่าว โดยทนายเดชา เผยว่า ดีเอสไอก็เรียนจบกฎหมาย ตำรวจภาค 1 ก็จบกฎหมาย รวมถึงตนด้วย ดังนั้นเวลาจะพูดถึงกฎหมายต้องอ่านไปที่ตัวบทกฎหมายด้วย สำหรับการที่นายอัจฉริยะอ้างมาตรา 24 ก็เขียนไว้ชัดเจนว่า เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ตามพ.ร.บ.นี้ ให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ มีอำนาจในการส่งหนังสือทวงถาม ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 24 (3) (4) ซึ่งทำให้เห็นได้ว่าการให้อำนาจให้เฉพาะ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ แต่ปัจจุบันคดีดังกล่าวยังไม่ได้รับเป็นคดีพิเศษ เป็นเพียงการตั้งเลขสืบสวนเท่านั้น เพราะฉะนั้นจะต้องมีแต่เจ้าหน้าที่สืบสวน

ทั้งนี้หากดีเอสไอมีพยานหลักฐานว่า ตำรวจต้องติดคุก อย่างที่นายอัจฉริยะบอกว่ามีประมาณ 30-40 คน ถ้ามีหลักฐานทำไมไม่เอาเข้าคณะกรรมการคดีพิเศษ แล้วลงมติรับเป็นคดีพิเศษ และก็ออกหมายเรียกหรือหมายจับไปเลย

สำหรับการดำเนินคดีของภาค 1 ตอนนี้ตนทราบข้อมูลว่ามีการดำเนินการไปบ้างแล้ว แต่ไม่เป็นข่าวเพราะเวลาตำรวจทำงานจะทำแบบเงียบๆ แต่ต้น ก็ไม่มีอะไรอยากฝากไปถึงนายอัจฉริยะ เพราะตนก็เป็นเพื่อนรักกัน ตนไม่เคยโกรธนายอัจฉริยะ ต่างคนต่างทำหน้าที่ และการตีความกฎหมายทุกคนมีสิทธิ์ของแต่ละคนแตกต่างกัน แต่ในเมื่ออ้างกฎหมายก็ต้องไปอ่านกฎหมายให้ดี