"เปิ้ล นาคร" เผยคำพูด "ปอ" วันแตงโมตกเรือทำไมถึงกลับบ้าน ได้รับคำตอบว่า "หาจนเหนื่อยแล้ว"

เปิ้ล นาคร ศิลาชัย เข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมกรณี แตงโม-นิดา ตกเรือ ซึ่งเปิ้ลเป็นคนขี่เจ็ตสกีออกตามหาแตงโมในวันเกิดเหตุ ซึ่งในช่วงเช้า เปิ้ล เปิดใจต่อสื่อมวลชนโดยยอมรับว่า 3 ปีก่อน ตนตอบคลาดเคลื่อนเรื่องเวลา เพราะจำไม่ได้

 

พร้อมเล่าเหตุการณ์ว่าได้คุยกับคนบนเรือ ได้ฟังเหตุผลว่า การที่ยังหาแตงโมไม่เจอแล้วทำไมคนบนเรือถึงกลับบ้าน โดยส่วนตัวมองโอกาสรอดชีวิตของแตงโมว่ายากตั้งแต่ตอนเกิดเหตุเพราะเพิ่งทราบตอนนั้นว่าแตงโมไม่ใส่ชูชีพ แต่ในช่วงเวลานั้นก็ยังพยายามค้นหากันต่อด้วยความหวัง

 

การเข้าพบดีเอสไอวันนี้ เตรียมเรื่องจริงที่เจอในวันเกิดเหตุมาให้ข้อมูล เพราะเรื่องไหนที่ไม่ได้เจอก็คงจินตนาการต่อแทนใครไม่ได้ จะพูดแต่เรื่องวินาทีที่ตนรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ยืนยันว่าเล่าเหมือนเดิมเมื่อ 3 ปีที่แล้ว

 

ส่วนที่เคยบอกไปว่าตนเองได้รับโทรศัพท์ช่วง 20.00 น. ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมคาใจ ตอนนั้นให้สัมภาษณ์ แต่พอกลับไปเล่าให้ภรรยาฟัง ภรรยาก็แย้งว่าช่วงเวลาดังกล่าวตนเองยังอยู่ในงานเลี้ยงเรียนคอร์ส ยังไม่ได้กลับบ้าน ซึ่งคร่าวๆ คือประมาณ 22.00-23.00 น.

 

แต่ตนเองจำเวลาไม่ได้ ในตอนนั้นจึงให้สัมภาษณ์ไปแบบนั้น แต่รู้ว่ามันเป็นเวลากลางคืนที่กลับบ้านมาแล้ว นอนแล้ว นอนไปได้ครู่เดียวภรรยาก็แจ้งตนเองว่า เพื่อนบอกว่าแตงโมตกน้ำ โทรศัพท์ให้ไปช่วย

 

ตนถามว่าแตงโมตกน้ำที่ไหน ภรรยาบอกว่าเรือสปีดโบ๊ตที่แม่น้ำเจ้าพระยา ทีแรกคิดว่าไม่เป็นไรเพราะเพื่อนน่าจะต้องรีบช่วย แต่พอตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าแตงโมไม่ได้ใส่ชูชีพ จึงตัดสินใจรีบออกจากบ้านเพื่อช่วยค้นหาอีกแรง

 

เพราะจากการที่ตนเองเล่นกีฬาทางน้ำ การตกน้ำโดยไม่ใส่ชูชีพ ลงไปในน้ำวน จะมีแรงดึงดูดจากใต้น้ำ สัญชาตญาณตอนนั้นเป็นห่วงมาก ระหว่างเดินทางออกจากบ้านก็พยายามติดต่อเพื่อนทีมเจ็ตสกี แต่ไม่มีใครรับสาย

เมื่อเข้าถึงจุดเกิดเหตุ เริ่มเห็นคนเยอะ ก็คิดว่าคงไม่ธรรมดาแล้ว น่าจะหากันไม่เจอ เพราะเห็นหลังเจ้าหน้าที่มูลนิธิเต็มไปหมด เพื่อนแตงโมกลุ่มแรกที่เจอ เป็นกลุ่มฮิปโป-แอนนา อยู่ในอาการตื่นตระหนก มีเบิร์ด เทคนิคด้วย

 

ตนเองมารู้ว่ากลุ่มนี้สนิทกันจากการสอบถามตอนนั้นเลย รวมถึงเบิร์ดเทคนิค ที่ก็พึ่งรู้ตอนนั้นว่าเป็นแฟนแตงโม โดยส่วนตัวรู้จักกันตั้งแต่ทำรายการด้วยกัน เบิร์ดเป็นเด็กอาร์ต ทำศิลปะร่วมกัน ครีเอทีฟกับกลุ่มเพื่อนเด็กๆ น้องๆ ที่ทำงานด้วยกันที่บริษัท

 

เมื่อลองขับรถไปอีกท่าน้ำตามคำบอกเล่าจุดที่แตงโมน่าจะตกเรือ ก็พบเจ้าหน้าที่เต็มพื้นที่ พอดีมีเจ็ตสกีขับมา 3-4 ลำ ก็เจอเพื่อนที่รู้จักกันพอดี บอกว่ามาช่วยหาแตงโม จึงถามว่ามีเจ็ตสกีเหลืออีกลำหรือไมี จะให้ลูกน้องขับออกไปด้วยกัน

 

คนเราถ้าตกน้ำ ไม่มีชูชีพ อย่างน้อยอาจไปติดตอม่อได้ ก็ไปหาตรงตอม่อ หรือใต้ถุนน้ำ หาหลายชม มืดด้วย ก็ค่อยๆ ขับหาไปถามเจ้าหน้าที่ จนไปมุดใต้ถุนบ้าน คิดว่าอย่างน้อยหมดแรงก็เกาะตอม่อเสาบ้านก็ยังดี ตัวเลอะโคลนให้เห็นก็ยังดี แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ หากันนานมาก

 

จุดที่ผิดสังเกตจุดแรกคือ เจอคนเฝ้าเรือลำเกิดเหตุกลางแม่น้ำ จึงถามว่าคนขับเรือไปไหน ได้รับคำตอบว่ากลับบ้านหมดแล้ว ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจว่า “ยังหาไม่เจอแล้วทำไมมันกลับบ้านกันวะ” ในใจก็คิดสงสัยแค่นั้น

 

ส่วนตนเองยังหาต่อจนถึงช่วงเช้ามืด ภาวนาว่าแตงโมอาจหมดแรงไปเกาะอยู่ตอม่อบ้านใครสักคนแล้วหลับคาตอม่อ สายๆ อาจมีคนมาเจอ ก็ภาวนาให้แตงโมรอด คิดว่าต้องรอด ขอให้ลอยไปติดแบบนั้น

 

ช่วงเช้า หนุ่ม-กรรชัย โทรมาขอให้ไปออกรายการโหนกระแส ตนมองว่าอย่างน้อยประโยชน์ที่เราลงไปเห็นอะไรตรงนั้น อาจช่วยสะกิดคนที่ดูข่าวเช้านั้น จะได้มุดไปมองใต้ถุนบ้านตัวเอง แตงโมอาจหมดแรงแล้วนอนอยู่ ก็ช่วยกันอะไรที่เป็นประโยชน์ ก็ยอมไปสัมภาษณ์

 

ยอมรับว่าจำหน้าคนเฝ้าเรือไม่ได้พยายามหาต่อด้วยความเป็นห่วงด้วย เพราะไม่ได้ขี่เล่น มันเครียดด้วย ในใจคิดอย่างเดียวเลยว่าเป็นห่วงแตงโมเพราะไม่ได้ใส่ชูชีพ ถ้าใส่ชูชีพอย่างน้อยขับไป 3 กม. อาจเจอแตงโมลอยคอเกาะผักตบชวาหรือขอนไม้

 

ตนเองได้โทรคุยกับ “ปอ ตนุภัทร เลิศทวีวิทย์” จึงถามว่าแตงโมมากับใคร ได้รับคำตอบว่ามากับ แซน-วิศาพัช ซึ่งตอนนั้นตนไม่รู้จัก แต่พอบอกว่า “ปอขายรถ” จึงพอจำได้ เพราะ 2 ปีก่อนหน้านั้นเคยเรียนคอร์สด้วยกัน

 

ตอนโทรหา ปอไม่รับสายคืนนั้น แต่โทรกลับมาช่วงเช้า จึงถามไปว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร เขาก็บอกว่าแตงโมตกเรืออย่างโน้นอย่างนี้ จึงถามว่าทำไมถึงไม่ช่วยกันหา ก็ได้คำตอบว่า ช่วยกันหาจนเหนื่อยแล้ว ก็เลยกลับ ทั้งที่ยังไม่เจอแตงโม แต่ในใจตอนนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรต่อเพราะไม่คิดว่าจะเป็นคดีหรืออะไร

 

หลังวางสายไปครั้งนั้นแล้วก็ไม่ได้ติดต่ออะไรกันอีกเลย มารู้ทีหลังว่าปอให้สัมภาษณ์ว่า “พี่เปิ้ลยังด่าผมเลย บอกว่าเพื่อนตกน้ำ มึงหาไม่เจอ แล้วกลับบ้านได้ไงวะ“

 

สิ่งที่เป็นข้อสังเกตของตนคือเรื่องการปัสสาวะท้ายเรือ ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องยาก ขนาดตนเองให้ลูกขับเจ็ตสกีแล้วยืนหันหลังฉี่ ยังไม่กล้าทำเลย แค่สงสัยว่าเรือวิ่งอยู่ ปวดปัสสาวะทำไมถึงไม่บอกให้เรือจอดก่อน แค่นั้นเอง

 

มองว่าเปอร์เซ็นต์รอดยาก หากไม่ใส่เสื้อชูชีพ ถ้าวันนั้นแตงโมใส่ชูชีพ บอกเลยว่ารอด 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ในใจตอนนั้นก็ตั้งความหวังไว้ว่ายังไงแตงโมต้องรอด ต้องมีอะไรพัดไปติดอยู่ใต้เสาบ้านหรือตอม่อ