เกิดความวุ่นวาย ภายในวัดหนองหญ้าปล้อง จังหวัดสระบุรี ระหว่างญาติ กับพระสงฆ์ และคณะกรรมการวัดฯ หลังแย่งสมบัติมูลค่าหลายล้านบาท ของอดีตเจ้าอาวาสที่มรณภาพ
พระลูกวัด หนองหญ้าปล้อง อำเภอหนองแซง จังหวัดสระบุรี และคณะกรรมการวัด เกิดการโต้เถียงอย่างรุนแรงกับนางมนัสมนต์ ประเสริฐสาร และบรรดาญาติๆของพระครูพิพัฒน์สารกิจ หรือนายสัญชัย บุญประสาน อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองหญ้าปล้อง ที่มรณภาพ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา
หลังทั้ง 2 ฝ่าย ไม่สามารถตกลงเรื่องทรัพย์สมบัติของพระครูพิพัฒน์ ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากได้ ทางเจ้าหน้าที่ จึงได้อายัดและปิดประตูกุฏิไว้ พร้อมทั้งแต่งตั้งให้นายเดชา ก่อเกิด ผู้อำนายการสำนักงานพระพุทธศาสนา เป็นประธานตรวจสอบ และจากการนัดหมายให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานพระพุทธศาสนา จังหวัดสระบุรี ตำรวจ ทหาร และเจ้าหน้าที่ธนาคาร เข้าตรวจสอบทรัพย์สินภายในกุฏิ พบธนบัตรสภาพเก่าเก็บ ตรวจนับได้จำนวน 1609740 บาท ทองคำแท่งละ 1 บาท 2 แท่ง พระเครื่องจำนวนมาก และทรัพย์สินอื่นๆอีกหลายรายการ
นอกจากนี้ ยังมีพระพุทธรูป พระบูชา เครื่องรางของขลัง ทั้งชั้นล่างและชั้นบนอีกจำนวนมาก
โดยทางญาติ ได้ขอให้คณะสงฆ์วัดหนองหญ้าปล้อง ชี้แจงถึง 'ย่าม' ที่ติดตัวพระครูพัฒน์ ซึ่งหายไป และ ไม่ทราบว่า มีสิ่งใดอยู่ในย่ามนั้นบ้าง ส่วนทรัพย์สินอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นรถเบนซ์ และกรมธรรม์ประกันชีวิต ที่พระครูพิพัฒน์ทำไว้ โดยระบุว่า ยกให้กับทางวัดหลายล้านบาท ทางญาติไม่ติดใจ
นายเดชา ก่อเกิด ผู้อำนายการสำนักงานพระพุทธศาสนา จึงให้ตำรวจดำเนินการบันทึกทรัพย์สินทั้งหมด พร้อมให้นำเงินสดไปฝากธนาคารในนามวัด และอายัดทรัพย์สิน เพื่อให้ญาติพระครูพิพัฒน์ ดำเนินการฟ้องร้องไปตามขั้นตอนของกฏหมาย
ด้านนางมนัสมนต์ พี่สาวของพระครูพิพัฒน์ เปิดเผยว่า พระครูพิพัฒน์มีชื่อเสียงโด่งดัง ทางผูกดวง ดูหมอแม่น จนมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เมื่อปี 2550 ต้องอาบัติปราชิก และถูกปลดจากเจ้าอาวาส
แต่พระครูพิพัฒน์ไม่ยอมสึก และไม่ยอมออกไปจากวัด บอกว่า เคยรับปากกับเจ้าอาวาสองค์ก่อนไว้ว่า จะไม่ทิ้งวัดไปไหน และจะขอตายที่วัดหนองหญ้าปล้อง
ภายหลังถูกปลดจากเจ้าอาวาส ต้องอยู่อย่างเดียวดาย อาศัยในกุฏีองค์เดียว ถูกตัดน้ำตัดไฟมานานถึง 8-9 ปี เพราะถูกกดดันให้ออกจากวัด กระทั่งมีผู้พบว่า มรณภาพ
ส่วนทรัพย์สินที่พบจำนวนมากนั้น เป็นเพราะขณะมีชื่อเสียง มีลูกศิษย์มาทำบุญ ผูกดวงต่อชะตาเป็นจำนวนมาก ปัจจัยที่ได้มาจึงถูกเก็บซุกซ่อนไว้ในกุฏิ อีกทั้งยังมีพระพุทธรูปพระบูชา และเครื่องรางของขลังอีกนับไม่ถ้วน ที่ประเมินค่าไม่ได้ ซึ่งทางญาติจะขอนำทรัพย์สินส่วนที่เป็นของพระครูพิพัฒน์คืนเท่านั้น