กรมศิลปากร เตรียมจัดพิธีบวงสรวงยกเสาเอกพระเมรุมาศ งานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ นี้ ขณะที่ประชาชนจำนวนมาก เดินทางเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ
ประชาชนจำนวนมากจากทั่วทุกสารทิศ มีทั้งจากกรุงเทพมหานคร และ ต่างจังหวัด อาทิ จังหวัดนครศรีธรรมราช แพร่ และ พิษณุโลก พร้อมใจกันเดินทางไปกราบถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ โดยมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน
ทั้งนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงห่วงใยประชาชน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เจ้าหน้าที่ นำอาหารและน้ำดื่มพระราชทานไปแจกให้กับประชาชนที่เดินทางไปกราบถวายบังคมพระบรมศพให้ได้รับประทานอาหารครบทั้ง 3 เวลา อาทิ ข้าวมันไก่ ซาลาเปา ข้าวเหนียวหมูทอด และ เฉาก๊วย
ขณะที่ สำนักพระราชวังได้สรุปยอดรวมประชาชนที่เดินทางเข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช วันที่ 30 มกราคม ว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 35808 คน รวม 89 วัน มีจำนวน 3905114 คน
และมีประชาชนถวายเงินเพื่อร่วมบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นเงิน 3227486 บาท รวม 89 วัน เป็นเงินทั้งสิ้น 329039778 บาท 9 สตางค์
ฤกษ์บวงสรวงยกเสาเอกพระเมรุมาศ 27 ก.พ.
ด้าน นายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า พระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ หัวหน้าพราหมณ์ สังกัดกองพระราชพิธี สำนักพระราชวัง ได้กำหนดฤกษ์บวงสรวงยกเสาเอก พระเมรุมาศงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กลางมณฑลพิธีท้องสนามหลวง มายังกรมศิลปากร
คือ ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เวลา 10.01 น. ซึ่งจะมีการประกอบพิธีบวงสรวงการก่อสร้างพระเมรุมาศและสิ่งปลูกสร้างประกอบพระเมรุมาศ
โดยเชิญ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน จุดธูปเทียนบูชาเครื่องสังเวย ที่โต๊ะเครื่องบวงสรวงการก่อสร้าง
จากนั้นพระมหาราชครูพิธีศรีวิสุทธิคุณ อ่านโองการบวงสรวง ก่อนที่จะมีการโปรยข้าวตอกดอกไม้ ที่เครื่องสังเวยจนแล้วเสร็จ จึงเข้าสู่ช่วงเวลายกเสาเอกพระเมรุมาศ จากนั้นจะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานจัดสร้างพระเมรุมาศทุกภาคส่วนเข้าร่วมพิธีต่อไป
ส่วนความคืบหน้าการดำเนินการบูรณะราชรถ พระยานมาศที่โรงราชรถ ล่าสุดสำนักงานช่างสิบ หมู่ ได้กระเทาะกระจกเก่าที่ขุ่นมัวออกจากพระมหาพิชัยราชรถเกือบทั้งหมดและทำความสะอาดแล้ว อยู่ระหว่างการติดกระจกเข้าไปใหม่
ขณะที่หนึ่งในทีมช่างก่อสร้างกรมศิลปากร กล่าวว่า การก่อสร้างในส่วนของพระเมรุมาศ มีความคืบหน้าประมาณ 5% โดยหลังจากการปรับและบดอัดหน้าดินแล้ว ผลการตรวจสอบพบว่า พื้นที่ก่อสร้างพระเมรุมาศสามารถรับน้ำหนักได้ 28 ตัน
ซึ่งถือว่า มากเพียงพอที่จะรับน้ำหนักพระเมรุมาศ และขณะนี้ทางทีมช่างได้ทำการเทฐานรากไปแล้วจำนวน 12 จุด จากที่ต้องดำเนินการทั้งหมด 491 จุด