วิศวกรยิง ม.4 เตรียมเข้าแจ้งความถูกกลุ่มเพื่อน 'ปอน'รุมทำร้ายร่างกาย ด้านผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี สั่งพนักงานสอบสวนให้ดำเนินการโดยเร่งรีบและให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย
ความคืบหน้าคดีนายสุเทพ โภชน์สมบูรณ์ อายุ 50 ปี วิศวกร ใช้อาวุธปืนยิงนักเรียนชั้น ม.4 เสียชีวิต เนื่องจากเหตุการณ์ทั้ง 2 ฝ่ายทะเลาะกันเรื่องรถตู้จอดรถกีดขวางทางบริเวณตลาดอ่างศิลา ถนนสายอ่างศิลา - สุขุมวิท ต.อ่างศิลา อ.เมืองชลบุรี ก่อนที่จะบานปลายจนกลายเป็นเหตุยิงกันเสียชีวิต
ล่าสุดพันตำรวจโทธีรวัฒน์ จันทร์ศรีเพชร รองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวน สภ.แสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี เปิดเผยว่า หลังเกิดเหตุได้มีการสอบปากคำเด็ก ทั้งในส่วนของกลุ่มที่ลงจากรถเข้าล้อมรถผู้ต้องหา และที่นั่งมากับรถไว้หมดแล้ว แต่ยังไม่ได้แจ้งข้อหาใดๆ แต่ในระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานทั้งจากพยานบุคคล พยานสิ่งแวดล้อม และจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพวันเกิดเหตุหากพบว่าใครเข้าข่ายมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ก็จะตามตัวมาสอบปากคำและแจ้งข้อหาตามหนักเบาของแต่ละคน ตามพยานหลักฐาน แต่ขณะนี้ยังไม่ได้เรียกใครมาสอบปากคำแต่อย่างใด โดยในวันนี้ (12 ก.พ.60) ได้นัดนายสุเทพ(ผู้ต้องหา) มาสอบสวนเพิ่มเติมเวลาประมาณ 10 นาฬิกา พร้อมขอให้นำเอกสารหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับอาวุธปืนมามอบให้กับทางพนักงานสอบสวน ซึ่งผู้ต้องหาจะมีการแจ้งความกล่าวหากับกลุ่มวัยรุ่นลงมารุมทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บเป็นลายลักอักษร จากนั้นทางพนักงานสอบสวนจะทำการตรวจสอบ พร้อมเรียกตัวมาสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ด้านพลตำรวจตรีสมประสงค์ เย็นท้วม ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี กล่าวว่า คดีนี้ไม่มีความหนักใจแต่อย่างใด เพราะไม่สลับซับซ้อนอะไร วอนขอว่าให้หยุดพูด เพราะที่ผ่านมาก็จากการพูดทำให้เกิดความขัดแย้งกันขึ้นมา ขอให้ความมั่นใจ ไปพิจารณากันในกระบวนการยุติธรรมดีกว่ามาพูดกันไปกันมาจนเกิดความขัดแย้ง ซึ่งตำรวจจะให้ความยุติธรรมทั้ง 2 ฝ่าย หากฝ่ายใดมีหลักฐานอะไร ก็ส่งพนักงานสอบสวนได้ทุกเวลา ส่วนคลิปวิดีโอจากกล้องหน้ารถของนายสุเทพถือเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ขณะนี้ สภ.แสนสุข สอบปากคำกลุ่มวัยรุ่นไปแล้วกว่า 10 ปาก หลังจากนี้จะเรียกผู้เกี่ยวข้องมาให้ปากคำเพิ่มเติม โดยมีประเด็นที่ให้พนักงานสอบสวนไปสอบผู้ขับรถตู้ว่าพฤติกรรมเข้าข่ายการสนับสนุนการก่อเหตุหรือไม่ รวมถึงยังต้องรอหลักฐาน เช่นผลตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ เช่น รอยเขม่าปืน หัวกระสุน และปลอกกระสุน คาดว่าอีกไม่นานจน่าะปิดสำนวนคดีนี้ได้
ด้านนางมณีพร ผึ่งผาย แม่เด็ก ม.4 ผู้เสียชีวิต ให้สัมภาษณ์หลังจากได้เห็นคลิปของเหตุการณ์ทั้งหมดว่า ตอนนี้ไม่อยากพูดอะไรอีก เหนื่อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น ต่อจากนี้ขออโหสิกรรมให้คู่กรณี ปล่อยให้เรื่องเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ส่วนประเด็นที่โลกออนไลน์กำลังวิพากษ์วิจารณ์ตนอย่างรุนแรงจากการให้สัมภาษณ์ที่ผ่านมานั้น นางมณีพร บอกว่า เป็นความโมโหชั่วคราวแล้วแต่ว่าใครจะคิดยังไงก็ต้องปล่อยไป เพราะไม่ว่าจะพูดยังไงลูกชายตนก็ไม่ฟื้นขึ้นมา ก่อนทิ้งท้ายว่า “เรื่องนี้โลกโซเชียลต้องใช้วิจารณญาณกันเอง”
ขณะที่โลกออนไลน์ได้ส่งต่อแชร์ข้อความจากสมาชิกเฟซบุ๊ก สารวัตรเอก หุ่น ระบุตำแหน่งตนเองว่า เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สลุย ได้เขียนข้อความ แสดงความคิดเห็นว่า “ผมคิดแบบนี้… วิศวกรนั่งในรถ' หลังจากหนีและหลีกเลี่ยงเหตุปะทะมาตลอด (ตามวิสัยของคนมีปืนถูกกฎหมาย และได้เคยฝึกมา ไม่มีใครอยากยิงปืนตัวเองในที่สาธารณะ ถ้าไม่ร้ายแรงถึงชีวิตจริงๆ) การนั่งในรถเป็นมุมอับที่หนีไม่ได้ ทั้งยังโดนจอดรถปะกบหน้าหลัง มีกลุ่มวัยรุ่นคู่กรณี วิ่งกรูกันเข้ามาล้อมทั้งคัน คนนั่งในรถมุมยิงกดมันไม่มี คนรุมกันเข้ามาก็ไม่อาจคาดเดาว่ามีอาวุธอะไรมาบ้าง การยิงสุ่มเพียง 1 นัดระหว่างโดนรุมยำ ไม่มีใครหวังให้ตาย เหยื่อเพียงหวังหยุดยั้งภัยร้ายแรงที่เข้าถึงตัว เพื่อให้ตนและครอบครัวปลอดภัย ถ้าไม่รักษาชีวิตเราจะซื้อปืนถูกกฎหมายไว้ทำไม “มีปืนแล้วไม่ได้ใช้ ดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี ปืนมันคือทรัพย์สิน ที่ใช้ดูแลชีวิตและทรัพย์สินของเรา และ 'เป็นสิ่งที่ต้องใช้ ในโอกาสสุดท้าย ที่ยังมีชีวิตเท่านั้น' หากเราถูกฆ่าตายแล้วมีปืนไม่ยิงก็ไร้ประโยชน์ จำไว้ครับ “เดินขึ้นสู้ในศาล ดีกว่าถูกหามขึ้นศาลา”