ตำรวจขอนแก่นตามยึดรถเก๋งจากพยาบาลประจำศูนย์หัวใจฯ หลังสืบทราบว่า ไปสวมทะเบียนของรถเก๋งคนอื่น เบื้องต้นพบว่า ถูกเต็นท์รถมือสองร่วมกับขบวนการโจรกรรมรถยนต์ หลอกขายในราคาถูก
จากกรณี นายดนัย โกฎิปภา ชาวจังหวัดจันทบุรี ออกมาร้องเรียน ว่า ได้รับใบสั่งทางไปรษณีย์จากตำรวจทางหลวงขอนแก่น ให้จ่ายค่าปรับข้อหาขับรถเร็วเกินความเร็วกำหนด เป็นรถยนต์เก๋ง ทะเบียน ขธ 5483 กรุงเทพมหานคร ทั้งที่เจ้าของรถ ไม่เคยขับรถยนต์คันดังกล่าวเข้าพื้นที่ จ.ขอนแก่น แต่อย่างใด จึงร้องขอความเป็นธรรมให้ตำรวจตรวจสอบข้อเท็จจริง
ต่อมา พันตำรวจโท กฤษดา บุญศิริ สารวัตรสถานีตำรวจทางหลวงขอนแก่น ได้ตรวจสอบการตรวจสอบข้อมูล ทราบว่ารถเก๋งของนายดนัย (เจ้าของตัวจริง) มีการตกแต่งด้วยชุดแต่งรอบคัน ส่วนรถยนต์ที่ถูกออกใบสั่ง รุ่น สี และ ทะเบียนเหมือนกัน แต่แตกต่างกัน คือ ไม่มีชุดแต่งรอบคัน จึงสันนิษฐานว่า เป็นรถที่ถูกโจรกรรมมา แล้วสวมทะเบียนปลอม
กระทั่ง ตำรวจชุดปฏิบัติการศูนย์ปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์รถจักรยานยนต์ภูธรภาค 4 ได้ติดตามยึดรถยนต์เก๋งคัน ดังกล่าวได้จาก นางธารพิมล นานะมัย พยาบาลวิชาชีพประจำศูนย์หัวใจสิริกิตติ์ ซึ่งเป็นผู้ขับขี่รถยนต์คันเดียวกับกล้องจับความเร็วตำรวจทางหลวงบันทึกภาพได้
สอบสวน นางพิมล ให้กาว่า ตนเองได้ซื้อรถคันนี้มาอย่างถูกต้องเมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ในราคา 1 แสน 5 หมื่นกว่าบาท หลังมีคนรู้จักแนะนำให้ซื้ออีกทอดหนึ่ง โดยหลังจากจ่ายเงินไปแล้วทางผู้ขาย แจ้งว่า จะส่งมอบเอกสารคู่มือรถยนต์ให้เมื่อมารู้ว่า เป็นรถสวมทะเบียนปลอม ทำให้รู้สึกเสียใจมาก ที่ไม่ตรวจสอบข้อมูลให้รอบคอบ เพราะเห็นว่ารถสภาพดี ราคาถูก รีบตัดสินใจซื้อ
ล่าสุด ตำรวจระบุว่า ได้ตรวจสอบพบว่า รถคันนี้หมายเลขทะเบียนที่แท้จริง คือ กจ 2861 เพชรบุรี เป็นรถยนต์ที่ขาดส่งกับสถานบันการเงินแห่งหนึ่ง ต่อมา มีขบวนการสวมทะเบียนรถยนต์ดำเนินการร่วมกับเจ้าของเต็นท์รถยนต์มือ 2 ในจังหวัดขอนแก่น นำมาขายต่อให้กับ นางสาวธารพิมล ซึ่งถือว่าเป็นรถที่ผิดกฎหมาย จึงตรวจยึดไว้และส่งไปให้ตำรวจศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 4 เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด พร้อมทั้งได้ให้ นางสาวธารพิมล แจ้งความไว้เป็นหลักฐาน
และ ตำรวจได้กัน นางธารพิมล ไว้เป็นพยานเพื่อสืบสวนขยายผลติดตามจับกุมขบวนการ โจรกรรมรถยนต์แล้วนำมาหลอกขาย พร้อมฝากเตือน ประชาชนว่า ก่อนซื้อรถยนต์มือสองต้องตรวจสอบให้รอบคอบไม่ใช่ด่วนซื้อเพียงรถสภาพดีสวยและราคาถูกเท่านั้น พร้อมแนะนำให้ต้องตรวจสอบทะเบียนข้อมูลการใช้รถยนต์กับทางกรมขนส่งทางบก เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อเหมือนเช่นกรณีนี้