อดีตหลวงปู่เณรคำ ถูกคุมตัวขึ้นศาล พร้อมปฏิเสธขอสู้ทุกคดี ทั้ง พรากผู้เยาว์ ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ ฟอกเงิน โดยศาลได้นัดสืบพยานในช่วงกลางปีหน้าทั้งหมด
ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ ศาลได้นัดตรวจหลักฐานคดีที่พนักงานอัยการคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวิรพล สุขผล หรือ อดีตหลวงปู่เณรคำ จำเลยในความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปจากบิดามารดาหรือผู้ปกครองเพื่อการอนาจาร
จากกรณี เมื่อช่วงเดือนมกราคม 2543 ไปจนถึงกลางปี 2544 จำเลยได้พรากเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปีจากผู้ปกครองไปข่มขืนกระทำชำเรา เป็นเวลา 2 ปี จนมีบุตร 1 คน อันเป็นความผิดตามกฎหมาย ซึ่งระหว่างถูกดำเนินคดี จำเลยได้หลบหนีไปประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนจะถูกส่งตัวกลับมาในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน
โดยเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัวจำเลย มาจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพื่อมาฟังการพิจารณา ปรากฏว่า ทางจำเลยได้แถลงยืนยันให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา อ้างว่าไม่ได้กระทำผิดและเด็กที่เกิดมาก็ไม่ใช่บุตรของตนเอง
ขณะที่ ทางอัยการโจทก์ ได้แถลงต่อศาล ขอนำพยานเข้าเบิกความจำนวน 9 ปาก ส่วนทนายความจำเลยขอนำพยานเข้าเบิกความ 9 ปาก รวมใช้เวลา 7 นัด ศาลจึงพิจารณาแล้วอนุญาตคู่ความตามที่ร้องขอ โดยเริ่มสืบพยานโจทก์นัดแรกในวันที่ 8 มิถุนายนปีหน้า (2561)
จากนั้นช่วงบ่าย ศาลก็ได้นัดตรวจพยานหลักฐานคดี ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้อง นายวิรพล เป็นจำเลยในความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ปี 2552 คดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และ คดีฟอกเงิน ซึ่งจำเลยก็ยังให้การปฎิเสธทุกข้อกล่าวหาเหมือนเดิม
โดยความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนนั้น จำเลยอ้างว่าได้สร้างวัดและพระแก้วมรกตองค์ใหญ่ที่สุดในโลกจริง ส่วนความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จำเลยอ้างว่า มีญาติโยมเป็นคนจัดทำข้อความและนำไปเผยแพร่ให้ และ ความผิดฐานฟอกเงินนั้น จำเลยอ้างว่า รถยนต์ส่วนหนึ่งมีญาติโยมซื้อมาถวายเพื่อใช้ในกิจของสงฆ์
ต่อมาอัยการโจทก์ได้แถลงขอนำพยานบุคคลเข้าสืบจำนวน 12 ปาก ส่วนใหญ่เป็นประชาชนผู้เสียหาย เจ้าหน้าที่สำนักพระพุทธศาสนา และ เจ้าหน้าที่ ปปง.
ขณะที่ฝ่ายจำเลย แถลงขอนำพยานเข้าสืบ จำนวน 49 ปาก แต่ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้จำเลยนำพยานเข้าสืบ 8 ปากเท่านั้น โดยนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรกในวันที่ 22 พฤษภาคม 2561 ตั้งแต่เวลา 09.00 น.เป็นต้นไป