กลุ่มแรงงานชาวไทย 36 คน เดินทางเข้าให้ปากคำตำรวจปราบปรามการค้ามนุษย์ หลังเดินทางไปทำงานที่ดูไบผ่านบริษัทจัดหางาน แต่ถูกยกเลิกสัญญา ไม่ได้รับค่าจ้าง

กลุ่มแรงงานชาวไทย 36 คน เดินทางเข้าพบ พลตำรวจตรี กรไชยคล้ายคลึง ผู้บังคับการ ตำรวจปราบปรามการค้ามนุษย์ หรือ ปคม. เพื่อให้ปากคำกรณี กรณีกลุ่มแรงงานไทย 130 คน เดินทางไปทำงานที่เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ผ่าน บริษัทจัดหางาน แต่เมื่อ ไปถึงกับไม่ได้ทำงานตามตำแหน่งที่สมัครไป ถูกยกเลิกการจ้างงาน ลอยแพ จนต้องขอความช่วยเหลือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพากลับประเทศ

ตัวแทนแรงงาน เปิดเผยว่า รู้จักบริษัทจัดหางานจากเพื่อนที่เคยไปทำงานด้วยกัน บริษัทดังกล่าว อ้างว่าจะจ้างให้ไปทำงานในตำแหน่งเชื่อมเหล็ก ได้ค่าจ้าง 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อชั่วโมง เป็นการไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายผ่านทางกรมแรงงาน มีสวัสดิการต่างๆอาทิที่พัก ค่าอาหาร และการรักษาพยาบาล

จึงตกลงไปทำงานและจ่ายค่าดำเนินการ ค่าตั๋ว ค่าวีซ่า รวม 2 หมื่น 5 พันบาท แต่เมื่อไปถึงกลับถูกยึดพาสปอร์ต ให้ทำงานในตำแหน่งงานที่ยากกว่า และต้องอยู่แบบหลบๆซ่อนๆ จึงไม่พอใจหยุดทำงาน ซึ่งทางบริษัทได้ยกเลิกสัญญา ไม่จ่ายค่าจ้าง บังคับให้แรงงานเซ็นยอมรับว่ามีการหยุดงานจริง ไม่ติดใจเอาความกับบริษัท แลกกับการได้รับพาสปอร์ตคืนเพื่อเดินทางกลับประเทศ

ด้าน พลตำรวจตรี กรไชย เปิดเผยว่า กำลังเรียกผู้เสียหายมาสอบปากคำข้อเท็จจริง โดยอยู่ระหว่างรอคำสั่งจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าจะให้ หน่วยงานใดดำเนินคดี สำหรับกลุ่มแรงงานเดินทางไปทั้งหมด 130 คน เดินทางกลับมาแล้วทั้งสิ้น 97 คน เหลืออีกประมาณ 30 คน ที่อยู่ระหว่างช่วยเหลือกลับประเทศ ต้องรอสอบปากคำแรงงานทั้งหมด จึงจะสรุปว่าเข้าข่ายความผิดการค้ามนุษย์หรือไม่

เบื้องต้น กรณีดังกล่าว เข้าข่ายความผิดการค้าแรงงานผิดสัญญาจ้างงานการโฆษณาชวนเชื่อหรือ ฉ้อโกงประชาชน เนื่องจากแรงงานยังสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ ส่วนกรณียึดพาสปอร์ต จะต้องพิจารณาเจตนาของผู้ยึด ว่า มีเจตนากักขังหน่วงเหนี่ยวแรงงานหรือ เพียงเก็บรักษาเอกสารสำคัญ ต้องขอบคุณกรมการกงสุลที่ทำหน้าที่สำคัญในการประสานงานช่วยเหลือแรงงานดังกล่าว กลับประเทศ

ตำรวจ ปคม. ยัน แรงงานถูกหลอกไปทำงานที่ดูไบไม่เข้าข่ายค้ามนุษย์