จากที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมาก เกี่ยวกับการกรมศุลากรออกประกาศว่า ต้องแจ้งสิ่งของมีค่า ก่อนเดินทางออกประเทศ ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสาร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ยืนยันว่า ไม่ได้บังคับกับผู้โดยสารทุกคน

นายบุญเทียม โชควิวัฒน ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรตรวจของผู้โดยสารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เปิดเผยว่า กรณีประกาศเกี่ยวกับการปฏิบัติพิธีการทางศุลกากรของติดตัวผู้โดยสาร ที่นำติดตัวเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักร ทางท่าอากาศยานว่า ขณะนี้มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับประกาศดังกล่าว ยืนยันว่าในทางปฏิบัติทุกอย่างยังเหมือนเดิม

กรณีในประกาศระบุว่า หากนำคอมพิวเตอร์พกพา // กล้องถ่ายรูป หรือสิ่งของมีค่าอื่น ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ ก่อนเดินทางออกไปต่างประเทศนั้น เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกผู้โดยสารที่นำสิ่งของมีค่าออกไปจำนวนมาก เพื่อใช้งาน เช่น กองถ่าย หรือนำไปโชว์ในงานแสดงสินค้า

และเมื่อนำกลับเข้ามาในประเทศ จะได้ไม่ต้องชี้แจงกับเจ้าหน้าที่ หรือหาหลักฐานมาชี้แจงอีก ซึ่งไม่ได้บังคับว่า ต้องทำทุกคน สำหรับผู้โดยสารทั่วไป หากสิ่งของที่พกเป็นของใช้เดิม และสวมใส่ติดตัวปกติก็ไม่จำเป็นต้องแจ้ง

ที่ผ่านมา พบว่า มีผู้โดยสารแจ้งสิ่งของติดตัว เพื่อนำออกไปนอกประเทศ เดือนละไม่ถึง 10 ราย และตั้งแต่มีประกาศใหม่ และเป็นกระแสขึ้นมา ขณะนี้ยอดการแจ้งมีไม่ถึง 10 รายต่อวัน

ส่วนกรณีซื้อสินค้าจากร้านค้าปลอดอากรขาออก หรือดิวตี้ฟรี และนำของนั้นกลับเข้าประเทศ นายบุญเทียม เปิดเผยว่า หากสินค้าผ่านการเปิดใช้ระหว่างเดินทางออกนอกราชอาณาจักร การนำส่วนที่เหลือกลับเข้ามา ก็ได้ต้องจ่ายภาษี

แต่หากยังเป็นสินค้าใหม่ ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของการซื้อสินค้าจากร้านปลอดอากรขาออก ที่จำหน่ายเพื่อให้นำไปใช้นอกราชอาณาจักร การนำกลับเข้ามา หากมูลค่ารวมเกิน 20,000 บาท ส่วนที่เกินจะต้องมีภาระค่าภาษี ซึ่งรวมราคาสินค้าที่ซื้อจากต่างประเทศ และร้านปลอดอากรขาเข้าด้วย

ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าว กรมศุลกากรกำหนดมานานแล้ว แต่ที่ต้องมีประกาศใหม่ เพราะพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 จึงต้องออกประกาศกรมศุลกากรฉบับใหม่ เพื่อให้แนวทางปฏิบัติยังมีผลบังคับใช้เช่นเดิม