ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำกิ่วลม-กิ่วคอหมา จ.ลำปาง ยืนยัน สองเขื่อนใหญ่ ใน จ.ลำปาง ยังแข็งแรงดี และ สามารถรองรับน้ำได้อีก ส่วนที่ จ.กาญจนบุรี ผู้อำนวยการเขื่อนวชิราลงกรณ์ ประกาศเพิ่มการระบายน้ำภายในเขื่อนระหว่างวันที่ 1-5 สิงหาคมนี้ พร้อมเตือนประชาชนริมตลิ่งเตรียมความพร้อม

นายไววิทย์ แสงพาณิชย์ ผู้อำนวยการเขื่อนวชิราลงกรณ์ อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี กล่าวถึงสถานการณ์เกี่ยวกับการระบายน้ำ ที่กักเก็บภายในอ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณ์ ว่า หลังจากที่ทางเขื่อนได้มีการปรับเพิ่มระดับการระบายน้ำจาก 25 ล้านลูกบาศก์เมตร มาเป็น 28 ล้านลูกบาศก์เมตร และ ในวันที่ 30 และ 31 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ปรากฏว่า ปริมาณของน้ำที่ไหลเข้าสู่อ่างเก็บน้ำเขื่อนวชิราลงกรณ์ ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณน้ำวันที่ 31 กรกฎาคม ทางเขื่อนมีปริมาณน้ำที่กักเก็บ 7,146 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 81 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณน้ำที่สามารถกักเก็บได้

โดยยังเหลือปริมาณน้ำที่สามารถกักเก็บได้อีก 1,714 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าว หากมีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อน ในปริมาณที่มากอย่างต่อเนื่อง และ ไม่มีการปรับเพิ่มการระบายน้ำให้เหมาะสม จะมีความเสี่ยงที่น้ำจะเต็มเขื่อนจนต้องมีการเปิดระบบระบายน้ำผ่านประตูระบายน้ำฉุกเฉิน หรือ สปริงเวย์ เหมือนเช่นปี 2537-2540 และ 2545

ดังนั้น เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำภายในอ่างเก็บน้ำอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม สามารถรองรับปริมาณน้ำที่อาจจะเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูฝนที่เหลืออีก 2 เดือนได้ ในที่ประชุมอนุกรรมการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์น้ำ จึงมีมติเห็นชอบให้ปรับเพิ่มการระบายน้ำของเขื่อนวชิราลงกรณ์ จากวันละ 28 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นวันละ 36 ล้านลูกบาศก์เมตร

โดยในการปรับเพิ่มให้เป็นไปตามขั้นตอน มีการแจ้งเตือนล่วงหน้าและทยอยปรับเพิ่มทีละน้อย วันละ 2-3ล้านลูกบาศก์เมตร

โดยทางเขื่อนวชิราลงกรณ์ จะเริ่มมีการปรับเพิ่มการระบายน้ำ ในวันที่ 1 สิงหาคม นี้ จาก 28 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็น 31 ล้านลูกบาศก์เมตร และ วันที่ 2 สิงหาคม จะปรับเพิ่มเป็น 34 ล้านลูกบาศก์เมตร วันที่ 3-5 สิงหาคม จะปรับเพิ่มการระบายน้ำเป็น 36 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งทางเขื่อนวชิราลงกรณ์จะทำหนังสือแจ้งไปทางจังหวัดกาญจนบุรีเรียบร้อยแล้ว เพื่อแจ้งเตือนประชาชนที่มีบ้านเรือนอยู่ริมตลิ่งให้ดูแลความเรียบร้อยของทรัพย์สิน และ เตรียมพร้อมรับสถานการณ์หากระดับน้ำมีการปรับระดับสูงขึ้นต่อไป

ส่วนที่ จังหวัดลำปาง นายฤทัย พัชรานุรักษ์ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากิ่วลม – กิ่วคอหมา เปิดเผยว่า เขื่อนขนาดใหญ่ทั้ง 2 แห่ง ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดลำปาง ยังคงแข็งแรงแม้ว่าเขื่อนกิ่วลม จะมีอายุมากกว่า 36 ปีมาแล้วก็ตาม โดยเขื่อนกิ่วลม เป็นเขื่อนคอนกรีต ความจุเต็มอ่าง 106 ล้านลูกบาศก์เมตร ยังมีโครงสร้างที่สมบูรณ์แข็งแรงดีทุกประการ โดยจะสามารถรองรับการเกิดแผ่นดินไหวได้เป็นอย่างดี ซึ่งขณะนี้มีปริมาณน้ำในอ่าง 35 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 33 ของความจุอ่างทั้งหมด

ส่วนเขื่อนกิ่วคอหมา เป็นเขื่อนดินที่มีความจุ 170 ล้านลูกบาศ์เมตร แม้จะเป็นเขื่อนที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ แต่ก็ถือว่ามีโครงสร้างที่แข็งแรง และ รองรับการเกิดแผ่นดินไหวได้เป็นอย่างดีเช่นกัน โดยมีปริมาตรน้ำในอ่าง 90 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 58 % ของความจุอ่างทั้งหมด

ซึ่งที่ผ่านมามีเหตุแผ่นดินไหวหลายครั้งทั้งในประเทศ และ ประเทศเพื่อนบ้านแต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อเขื่อนที่ตั้งอยู่ในจังหวัดลำปาง เพราะถือว่าจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหวอยู่ห่างไกลมากที่สำคัญสิ่งที่หมดความกังวล คือ ที่ตั้งของเขื่อนนั้นไม่ได้อยู่บนแนวรอยเลื่อนที่มีพลัง ที่พาดผ่านภาคเหนือตอนบน จึงเป็นไปได้ยากที่เขื่อนจะได้รับผลกระทบจากการเกิดแผ่นดินไหว

นายฤทัย ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากิ่วลม – กิ่วคอหมา ยังบอกอีกว่า โดยสรุปในช่วงฤดูฝนนี้ทั้งสองเขื่อนมีการบริหารจัดการน้ำ และ เตรียมการรองรับพายุฝน และ น้ำหลากที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างปลอดภัย พร้อมมีการตรวจสอบความปลอดภัยของเขื่อนอยู่ตลอด ยืนยันขณะนี้สถานการณ์ทั้งสองเขื่อนเป็นปกติดี และ มีความพร้อมรองรับน้ำได้อีกมาก

เขื่อนวชิราลงกรณ์ประกาศเพิ่มการระบายน้ำ 1-5 ส.ค. เตือนประชาชนเตรียมรับมือ