คุมตัวผู้ต้องหาสาดน้ำกรดใส่ภรรยาดับไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ อ้างแค้นไปคบหาชายอื่น ญาติแจ้งความเอาผิดกับโรงพยาบาลเอกชนที่ไม่ยอมรักษา
นายคำตัน สิงหนาท อายุ 50 ปี ถูกตำรวจนครบาลท่าข้าม คุมตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ หลังสาดน้ำกรดใส่ ภรรยาวัย 37 ปี เสียชีวิต โดยระหว่างคุมตัวผู้ต้องหาไปทำแผน ญาติตะโกนด่าทอและสาปแช่งตลอดเวลา
จุดแรกเป็นหอพักไม่มีชื่อ ในซอยบางขุนเทียนชายทะเล 6 เป็นจุดที่ผู้ต้องหา ใช้น้ำกรดสาดใส่ภรรยาขณะนอนอยู่ จากนั้น จุดที่ 2 บริเวณหน้าห้องน้ำในห้องพัก เป็นจุดที่เทน้ำกรดใส่แก้วกาแฟเตรียมไว้ และจุดสุดท้าย ผู้ต้องหานำแก้วกาแฟมาทิ้งข้างบันไดทางขึ้นลงตึก
พลตำรวจโทสุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น รักษาราชการแทน ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ระบุว่า ผู้ต้องหาสารภาพว่า เจ็บแค้นใจ อ้างว่าผู้ตายแอบคบหากับชายอื่นอีก 2 คน เป็นคนขับรถรับจ้าง ย่านบางแคและพนักงานในห้างสรรพสินค้า ที่ผู้ตายทำงานอยู่ทำให้ระยะหลังทะเลาะกันบ่อย จึงก่อเหตุดังกล่าว ยืนยันไม่ได้ตั้งใจฆ่าให้ตาย แค่อยากทำให้เสียโฉม
สำหรับผู้ต้องหาและผู้ตาย อยู่กินฉันสามีภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสเป็นระยะเวลา 7 ปี เบื้องต้นแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่น และในวันพรุ่งนี้จะคุมตัวไปฝากขัง
ขณะที่ญาติผู้ตาย กล่าวว่า อยากจะได้คำตอบจากทางโรงพยาบาลพระรามสองว่า ทำไมถึงไม่รักษาปล่อยให้เด็กตัวเล็กๆ อายุ 12 ปี กลับออกไปเพียงลำพัง เบื้องต้นจะแจ้งความดำเนินดคีกับผู้บริหารโรงพยาบาล ในความผิดตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ที่ไม่รักษาผู้ป่วยซึ่งอยู่ในสภาพอันตรายและจำเป็นต้องได้รับการรักษาพยาบาลโดยฉุกเฉิน
ขณะที่ฝั่งแพทย์หญิงวัลลภา ไชยมโนวงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระราม 2 พร้อม นายแพทย์พีระ คณานุวัฒน์ ทีปรึกษา แถลงชี้แจง ว่า วันเกิดเหตุพยาบาลในห้องฉุกเฉิน ได้รักษาเบื้องต้นตรวจวัดสัญญาณชีพ ความดันโลหิต ชีพจร การหายใจ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ปกติ
แต่คนไข้มีอาการแสบร้อนที่บาดแผลจึงได้ทำแผล จากนั้นประสานไปยัง นายแพทย์พีระ เนื่องจากเป็นแพทย์ด้านศัลยกรรม ที่มีอำนาจในการตัดสินใจให้คนไข้แอดมิด แต่เมื่อแจ้งสิทธิ คนไข้ปฏิเสธการรักษา ขอไปรับการรักษา ตามประกันสังคมอีกโรงพยาบาลและประสงค์จะไปเอง
นายแพทย์พีระ ยืนยันว่า ขณะเกิดเหตุ มีแพทย์เวรประจำอยู่ที่ห้องฉุกเฉิน แต่ไม่ขอตอบว่าเพราะเหตุใดแพทย์คนดังกล่าวจึงไม่ออกมารักษา เพราะตนเองไม่ได้อยู่ในวันเกิดเหตุ
สำหรับอาการที่เกิดขึ้นกับคนไข้รายนี้ เป็นแผลผิวหนังไหม้ มีรอยแดง ยังไม่มีการกัดกร่อน จึงไม่น่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เสียชีวิตได้ พร้อมยืนยันรักษาตามมาตรฐาน ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตตนไม่ทราบแน่ชัด