คลินิกศัลยกรรมฉาวอีก หลังมีผู้เสียหายร้องขอความเป็นธรรมเพิ่มเติม ตรวจสอบเบื้องต้นเจ้าของคลินิกเป็นแพทย์ แต่คนผ่าตัดไม่ใช่แพทย์ สาธารณสุขปทุมธานีส่งเรื่องกองปราบแล้ว เตรียมสั่งปิดชั่วคราว
วันที่ 7 ธ.ค. 2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม นำผู้เสียหายพร้อมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการทำศัลยกรรมเสริมหน้าอกกับทางคลินิคแห่งหนึ่ง เข้าร้องขอความเป็นธรรมกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เพื่อขอให้ดำเนินคดีกับเอเจนซี่ และคลินิคที่ให้บริการกับผู้เสียหาย
โดย ทนายรณณรงค์ เปิดเผยว่า วันนี้ได้นำตัวผู้เสียหายทั้ง 2 คน มาร้องขอความ เนื่องจากที่ผ่านมาทางคลินิกที่ผู้เสียหายไปใช้บริการนั้นเมื่อถูกจับได้ว่ากระทำความผิดก็ปิดคลินิก และไปเปิดใหม่ซึ่งผู้เสียหายแทบทุกคนมีอาการหน้าอกเน่าเลือดไหลหมดตัวเกือบตาย โดยไม่ได้รับความรับผิดชอบหรือการติดต่อจากคลินิคใดๆทั้งสิ้น
ด้านนางสาวเอ (นามสมมุติ) เล่าว่า ตนรู้จักคลินิคนี้ผ่านเพจเฟซบุ๊ก ซึ่งขั้นตอนการรักษา รวมทั้งการศัลยกรรมนั้นเป็นแพทย์เฉพาะทางที่มาจากสาขาลาดพร้าวเป็นผู้ดำเนินการ ตนจึงเกิดความสนใจ ก่อนที่จะจ่ายเงินมัดจำ จากนั้นเมื่อถึงวันผ่าตัดทางเจ้าหน้าที่ของคลินิกได้เดินมาบอกว่าให้ไปชำระเงินที่เหลือก่อนตนจึงเดินไปชำระตามปกติ แต่เมื่อผ่าตัดกลับเป็นหมออีกท่านที่เข้ามาดำเนินการแทน
ซึ่งทางคลินิกก็มีการชี้แจงแต่ไม่ขอคืนเงินโดยให้เหตุผลว่า จะคืนเงินก็ต่อเมื่อพบว่าเกร็ดเลือดผิดปกติซึ่งหลังจากที่ตนผ่าตัดเสร็จสิ้นจนก็มีอาการร่างกายม่วง บวมช้ำและอ่อนแรง จากนั้นประมาณ 3-4 วัน ทางคลินิกนัดเจาะเลือดเพื่อถ่ายเทเลือดคลั่งออกจากหน้าอกของตน แต่ปรากฏว่าเลือดไม่ออกทางคลินิกจึงผ่าหน้าอกตนอีกครั้ง และนำซิลิโคนออกจากหน้าอกโดนนำไปล้างและ กวาดเลือดไปประมาณ 4-5 ถ้วยกาแฟ จากนั้นใส่ซิลิโคนกลับเข้าไปที่เดิม ส่งผลให้ตนเกิดอาการวูบ จึงต้องไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลขณะเดียวกันทางคลินิกปฏิเสธที่จะรับผิดชอบ โดยเสนอให้ตนกินน้ำแดงและยาเม็ดสีชมพูตระกูลบูเฟนเพื่อบรรเทาอาการไปก่อน สรุปตนไปนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 9 วัน จากนั้นนอนอยู่บนเตียงคนไข้กว่า 1 เดือน โดยที่ไม่ขยับตัวใดๆทั้งสิ้น รวมทั้งกลับมารักษาตัวที่บ้าน รวมกว่า 1 เดือน 15 วัน
ขณะที่นางจันฑนา จินดาถาวรกิจ ผู้อำนวยการกองกฎหมาย เปิดเผยว่า เบื้องต้นได้ทำการตรวจสอบคลินิกดังกล่าวแล้วและเข้าข่ายความผิด 3 ข้อหา แน่นอนส่วนการโฆษณานั้นอาจจะเข้าข่ายความผิดกฎหมายเช่นกันและการเพิกถอนใบอนุญาตคลินิกคงจะต้องสั่งปิดคดีไว้ชั่วคราว นอกจากนี้พบว่าผู้ประกอบกิจการไม่ใช่แพทย์ แต่ผู้ดำเนินการเป็นแพทย์ที่ไม่ตรงกับการโฆษณา