รองหัวหน้าพรรคประชาชาติ เข้ารับทราบข้อหา หลังโพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ เกี่ยวกับการให้ใบแดงว่าที่ ส.ส. หลายพรรคการเมือง
นายนิติภูมิธณัฐ มิ่งรุจิราลัย รองหัวหน้าพรรคประชาชาติ เข้ารับทราบข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท.
กรณีที่มีการโพสต์ ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวว่า “กกต.เตรียมแถลงแจกใบแดงว่าที่ ส.ส. 45 เขต พรรคเพื่อไทย 28 เขต อนาคตใหม่ 15 พลังประชารัฐ 2 เลือกตั้งซ่อม 21 เมษายน 2562 ทำให้ตอนนี้ พรรคพลังประชารัฐ มี ส.ส.เป็นอันดับ 1 จำนวน 115 เสียง พรรคเพื่อไทยมี ส.ส. 111 เสียง”
ซึ่งต่อมา กกต.ได้ออกมาแจ้งว่าข้อมูลที่ปรากฏเป็นข่าวปลอม จึงไปแจ้งความดำเนินคดีนายนิติภูมิธณัฐ ในความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ข้อหานำข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์
ด้านนายนิติภูมิธณัฐ ไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลกับสื่อมวลชนแต่อย่างใด แต่ให้การกับพนักงานสอบสวนว่า ข้อความที่ปรากฏบนทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กนั้น ตนไม่ได้เป็นผู้โพสต์
ทั้งนี้ บัญชีทวิตเตอร์ดังกล่าวก็ไม่ได้มีการใช้มานานมากแล้ว จนจำรหัสเข้าไม่ได้ แต่เชื่อว่า อาจเป็นลูกน้องคนสนิทเป็นผู้โพสต์ ซึ่งขณะนี้ยังไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัด
พลตำรวจโทสุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ร้อยตำรวจเอกนิติภูมิธณัฐให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ซึ่งพนักงานสอบสวนจะรวบรวมสำนวนส่งให้พนักงานอัยการพิจารณาสั่งฟ้องต่อไป
และฝากเตือนว่า ในห้วงเวลานี้ อยู่ระหว่างการประกาศผลการเลือกตั้ง สส. อย่างเป็นทางการ อาจมีผู้ไม่หวังดีสร้างข่าวปลอมโจมตีรัฐบาล และคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประชาชนต้องระมัดระวังการโพสต์ข้อมูลต่างๆ เพราะถ้าโพสต์หรือแชร์ข้อมูลเท็จจะเข้าข่ายความผิดถูกดำเนินคดีได้
ส่วนกรณีการสืบสวนข่าวเท็จ "กกต.เตรียมแจกใบแดงว่าที่ สส.45 เขต" ่พบ นายนิติภูมิธณัฐ มิ่งรุจิราลัย เป็นผู้ดูแล หรือแอดมินเฟซบุ๊กแฟนเพจ “Nitiphumthanat Ming-rujiralai” ซึ่งได้โพสต์ข้อความเท็จกรณี “กกต.เตรียมแถลงแจกใบแดงว่าที่ ส.ส. 45 เขต” เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2562 เวลา 10.02 น. ก่อนที่จะมีการโพสต์ที่แจ้งลบโพสต์ข้อความเท็จดังกล่าวออกไปจากเพจของตน
การกระทำของนายนิติภูมิธณัฐ มิ่งรุจิราลัย เข้าข่ายความผิดในข้อหา“นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จหรือปลอมโดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชน” ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14(2)