191 แถลงจับขบวนการค้ายาเสพติด ของกลาง ยาบ้ากว่า 6 ล้าน 5 แสนเม็ด ไอซ์ 600 กิโลกรัม เฮโรอีน 44 แท่ง น้ำหนักกว่า 15 กิโลกรัม เคตามีนน้ำหนัก 51 กิโลกรัม รวมมูลค่าของกลางทั้งหมด เกือบ 2,000 ล้านบาท
พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อม พล.ต.ต.สำราญ นวลมา ผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ 191 แถลงผลจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดรายสำคัญ 2 คดี ได้ผู้ต้องหา 8 คน
ของกลางแบ่งเป็นยาบ้ากว่า 6 ล้าน 5 แสนเม็ด ไอซ์ 600 กิโลกรัม เฮโรอีน 44 แท่ง น้ำหนักกว่า 15 กิโลกรัม เคตามีนน้ำหนัก 51 กิโลกรัม รถยนต์ 7 คัน และรถจักรยานยนต์อีก 1 คัน รวมมูลค่าทั้งหมด เกือบ 2,000 ล้านบาท
โดยคดีแรกสามารถจับกุมนายมูฮัมมัด วัย 29 ปี พร้อมพวกรวม 8 คน หลังตำรวจได้รับแจ้งจากสายลับว่า ระหว่างวันที่ 10-12 กรกฎาคม ขบวนการค้ายาเสพติดดังกล่าว จะลักลอบขนยาเสพติดจากพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อนำส่งมอบให้กับลูกค้าในพื้นที่จังหวัดสงขลา และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ชุดสืบสวนจึงเฝ้าสังเกตการณ์ กระทั่งวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา พบกลุ่มผู้ต้องหา ขับรถกระบะที่บรรทุกตระกร้าผลไม้ มาจอดบริเวณหน้าร้านแมคโดนัล ย่านจังหวัดสมุทรสาคร ก่อนจะมีรถกระบะ อีก 3 คัน ขับตามมาจอดต่อท้าย
จากนั้น คนขับทั้งหมด เตรียมแลกเปลี่ยนรถยนต์กันตำรวจจึงแสดงตัวเข้าตรวจค้น พบเป็นไอซ์ จำนวน 550 กิโลกรัม บรรจุอยู่ในถุงชามีตราสัญลักษณ์การ์ตูนโดเรม่อน โดยซุกซ่อนอยู่ในตะกร้าผลไม้ อยู่ภายในรถยนต์คันแรกที่มาจอด
ก่อนขยายผลเข้าตรวจค้นบ้านอีก 2 หลัง ภายในซอยเคหะ 3 ถนนพระราม 2 เขตบางขุนเทียน พบผู้ต้องหาเพิ่มอีก 1 คน อยู่ภายในบ้านจับกุม พร้อมยึดของกลางเป็นไอซ์ 50 กิโลกรัม ยาบ้าอีก 5 ล้าน 6 แสนเม็ด เฮโรอีน น้ำหนักกว่า 15 กิโลกรัม และเคตามีน อีก 51 กิโลกรัม ก่อนขยายผลและสามารถจับกุมผู้ต้องหาในคดีนี้ ได้รวมทั้งหมด 8 คน พบยอดเงินหมุนเวียนในเครือข่ายดังกล่าวกว่า 1,000 ล้านบาท
อีกคดีตำรวจสืบสวน พบว่า เครือข่ายค้ายาเสพติดย่านบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี เตรียมขนยาเสพติดส่งให้กับลูกค้าในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล กระทั่งวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา เวลาประมาณ 3 นาฬิกา ตำรวจพบรถยนต์ต้องสงสัยจึง วางแผนสกัดจับ แต่คนขับรถยนต์คันดังกล่าว ไหวตัวทันทิ้งรถ และวิ่งหลบหนี
เข้าตรวจค้นภายใน พบยาบ้าจำนวนกว่า 8 แสน 9 หมื่นเม็ด อยู่ภายในรถยนต์คันดังกล่าว จึงตรวจยึดของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน ก่อนเตรียมขยายผลจับกุมผู้กระทำความผิดต่อไป