ลูกสาวร้องพ่ออายุ 68 ปี ถูกงูเห่ากัด พาไปโรงพยาบาลรอถึง 4 วัน แพทย์ถึงฉีดเซรุ่มแก้พิษงูให้ ส่งผลให้อาการทรุดหนัก นอนไม่รู้สึกตัว
นางสุพิศ อายุ 49 ปี ร้องเรียนกับทีมข่าว หลังนายจำรัส อายุ 68 ปี พ่อ ถูกงูเห่ากัดบริเวณตาตุ่มข้อเท้าด้านขวา จึงพาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลในจังหวัดตรัง แต่ต้องนอนรักษาตัวอยู่ 4 วัน แพทย์ถึงจะฉีดเซรุ่มแก้พิษงูให้ เชื่อว่า เป็นเหตุทำให้พ่ออาการทรุดหนัก
ลูกสาว เล่าว่า วันเกิดเหตุ (1 ก.ค.) พ่อออกไปเก็บมะนาวที่ปลูกไว้ข้างบ้าน ถูกงูเห่าตัวขนาดเท่ากับหลอดไฟนีออนกัด ตนจึงตีงูเห่าตัวดังกล่าว จนตาย และพาพ่อส่งโรงพยาบาล
เมื่อไปถึงพยาบาลก็ให้ยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ปวด ก่อนให้นอนรอดูอาการ พยายามถามว่า ทำไมถึงไม่ฉีดเซรุ่มแก้พิษงูให้ แพทย์ก็ให้เหตุผลเพียงว่า ผู้ป่วยไม่มีอาการบ่งชี้ว่าโดนงูกัด ไม่มีอาการง่วงซึม หรือตาเบลอ เมื่อตนจะไปเอาซากงูมายืนยัน ทางโรงพยาบาลก็บอกว่า ไม่เป็นไร
พ่อนอนรอดูอาการอยู่ 3 วัน มีอาการปวดท้อง แน่นหน้าอกอย่างรุนแรง ถึงขั้นนอนไม่หลับ แต่แพทย์ให้เพียงยาธาตุน้ำขาว กระทั่งวันที่ 4 อาการทรุดหนัก บาดแผลเริ่มเปื่อย เนื้อตาย แพทย์จึงยอมฉีดเซรุ่มให้ และส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลอีกแห่งในจังหวัดตรัง
แต่พ่อทรุด หายใจไม่ออก ขณะนี้ไม่รับรู้อะไรแล้ว แพทย์ระบุว่า มีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด ติดเชื้อในสมอง ปอดติดเชื้อ สมองเริ่มตายไปบางส่วน และกำลังจะเข้าสู่ภาวะไตวาย ให้ญาติทำใจ
ลูกสาวยังบอกว่า ไปยื่นหนังสือร้องเรียนที่ศูนย์ดำรงธรรมแล้ว อยากให้โรงพยาบาลชี้แจงว่า เหตุใดไม่ยอมฉีดเซรุ่มให้ตั้งแต่แรก มีการบริการไม่เสมอภาคกันหรือไม่ และอยากให้ชี้แจงวิธีการรักษา เพราะครอบครัวยังทำใจ
ล่าสุด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลดังกล่าว ระบุว่า ได้เข้าเจรจากับครอบครัวผู้เสียหายแล้ว พร้อมรับผิดชอบกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ จากนี้ จะต้องหารือกับแพทย์ที่ทำการรักษาก่อน และตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อหาข้อสรุป ก่อนจะชี้แจงรายละเอียดต่อไป