"พีท ทองเจือ" เข้าแจ้งความ ยันแสดงความบริสุทธิ์ ไม่เกี่ยวข้องกับเสี่ยบอย โพสต์ขายหน้ากากอนามัย พร้อมขอให้ตำรวจดำเนินคดี กรณีที่ไลฟ์สดถ่ายติดภาพตนเอง
พีท ทองเจือ นักแสดง พร้อมด้วยภรรยาและลูกสาว เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวัน ที่สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ว่า ไม่รู้จักกับนายศรสุวีร์ ภู่รวีรัศวัชรี หรือ เสี่ยบอย ที่ไลฟ์เฟซบุ๊กว่า มีหน้ากากอนามัย 200 ล้านชิ้น เพื่อส่งขายประเทศจีน
พีท ทองเจือ บอกว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ขณะที่ตนเองไปถ่ายละครที่พัทยา เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ขณะนั้นเห็นเสี่ยบอย กำลังไลฟ์สดเดินผ่านมาทางตน และขอให้พูดทักทายกับคนที่ดูไลฟ์สดอยู่ จึงทักทายตอบ ก่อนที่เสี่ยบอยจะเดินต่อไปคุยกับคนอื่น ในกองถ่าย
ทำให้สังคมเข้าใจผิดว่า ตนเองอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมขอให้ตำรวจดำเนินคดีทางอาญา ขอยืนยันอีกครั้งว่า ไม่ได้รู้จักกับเสี่ยบอยมาก่อน
ส่วนอีกคนที่ได้รับผลกระทบหลัง "เสี่ยบอย" ไลฟ์สด และตรวจพบว่า สถานที่เก็บหน้ากากอนามัยที่ปรากฏอยู่ในคลิป เป็นของนายพันธ์ยศ อัครอมรพงศ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคภราดรภาพ
นายพันธ์ยศ ยอมรับว่า สถานที่เก็บหน้ากากอนามัยที่ปรากฏอยู่ในคลิป เป็นอาคารของตัวเองจริง เคยเปิดเป็นบริษัททำธุรกิจอาหารเสริมความงามเพื่อสุขภาพ แต่ขณะนี้ได้ปิดกิจการไปแล้ว
ส่วนตัวรู้จักกับนายศรสุวีร์ มาได้ประมาณ 1 เดือน ผ่านผู้ใหญ่ในกลุ่มนักธุรกิจ หลังจากนั้น นายบอยก็ได้ประสานขอให้ตนหาหน้ากากอนามัยในท้องตลาด เพื่อจะนำมาบริจาคจำนวน 1 ล้านชิ้น แต่ยังอยู่ระหว่างคุยรายละเอียด
ยืนยันว่า เป็นแค่ตัวกลางในการติดต่อหาหน้ากากอนามัย ให้หน่วยงานภาครัฐของประเทศจีน เพื่อนำไปช่วยเหลือคนประเทศของจีน ไม่ได้เป็นพ่อค้าคนกลางหรือบุคคลที่กักตุนสินค้าอย่างที่สังคมเข้าใจ
นายพันธ์ยศ ยังยืนยันว่า ไม่ได้รู้จักกับร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ข่าวที่ออกมาสร้างความเข้าใจผิด และหลังจากโควิด-19 เริ่มระบาดในประเทศไทย ตนก็ตระหนักถึงความต้องการหน้ากากอนามัยภายในประเทศ และไม่ได้เป็นตัวกลางในการจัดหาหน้ากาก เพื่อส่งไปประเทศจีนอีก
ล่าสุด นายบุญเลิศ ไพรินทร์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา หรือ โหร ส.ว.โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีที่มีข่าวตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ที่จัดส่งหน้ากากอนามัย ให้คนสนิทนักการเมือง แต่อ้างว่า แค่หาหน้ากากอนามัยไปบริจาคประเทศจีน 1 ล้านชิ้นเท่านั้น
นายบุญเลิศ ระบุว่า เรื่องนี้ไม่น่าจะใช่แค่การบริจาค แต่อาจจะเข้าข่ายการค้าขายโดยหลบเลี่ยงกฎหมาย หรือข้อห้ามของกระทรวงพาณิชย์ ที่ไม่ให้ขายหน้ากากอนามัยไปยังต่างประเทศหรือไม่ ใช้ข้ออ้างว่า จะส่งไปบริจาคให้ประเทศจีนผ่านสมาคมไทยจีน หรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง
ทั้งนี้ เคยได้รับการติดต่อจากคนคนหนึ่งให้ทำแบบเดียวกัน แต่ตนปฏิเสธไป เพราะไม่อยากทำผิดกฎหมาย ขณะที่ประเทศไทยก็ขาดแคลนหน้ากากอนามัยอย่างมาก พร้อมกับอยากให้รัฐบาลติดตามตรวจสอบว่า หน้ากากอนามัยจากไทยที่ผ่านสมาคมบางสมาคม หากเป็นของบริจาคจริง ทำไมถึงมีขายในตลาดประเทศจีนได้