สาวโพสต์ตัดพ้อ พ่อแม่ขับรถส่งยาให้โรงพยาบาลกลางดึก ถูกจับฝ่าฝืนเคอร์ฟิว ด้านตำรวจชี้แจงว่า จับกุมตอน 5 ทุ่มหลังส่งยาเสร็จ ขณะผู้ฝ่าฝืนกำลังเดินทางกลับมายังตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อรับยาจากบริษัทนำไปส่งที่อื่นต่อ ซึ่งสามารถพักค้างคืนได้ ไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องฝ่าฝืน
(9 เม.ย. 2563) สมาชิกเฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ข้อความทำนองว่า "พ่อ และแม่ ขับรถส่งยารักษาโรคไปส่งให้โรงพยาบาล เส้นทางสายแม่ฮ่องสอน-แม่สะเรียง-ขุนยวม แต่กลับถูกจับข้อหาฝ่าฝืนเคอร์ฟิว ทั้งที่บริษัทที่พ่อกับแม่ทำงานอยู่ มีใบอนุญาตถูกต้องทุกอย่าง
นอกจากนี้ ยังยื่นเอกสารให้ดูแล้วว่ามีใบอนุญาต แต่ตำรวจกลับบอกว่าใช้ไม่ได้ และพาตัวไปโรงพัก พร้อมฝากขัง ตนจึงขาดการติดต่อจากพ่อแม่ เพราะตำรวจยึดมือถือไว้ พ่อกับแม่ต้องนอนในคุก 1 คืน แล้วส่งตัวมาขึ้นศาลที่ศาลจังหวัดฮอด" นอกจากนี้ ผู้โพสต์ยังตั้งคำถามด้วยว่า พ่อแม่ฉันทำอะไรผิด ต้องนอนคุกทั้ง ๆ ที่มีเอกสารยกเว้นจากบริษัทที่ถูกต้องทุกอย่าง
ล่าสุด ผู้โพสต์ชี้แจงคืบหน้าว่า พ่อกับแม่ถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว ทนายของบริษัทได้เข้าไปช่วยเหลืออย่างดี โดยยื่นขอประกันตัว และคุมความประพฤติ ทั้งพ่อและแม่
ขณะที่ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ก็ชี้แจงข้อเท็จจริงผ่านเฟซบุ๊กว่า การจับกุมดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นเมื่อช่วงเวลา 23.00 น. ในขณะจับกุมทั้งสองได้ไปส่งยาให้โรงพยาบาลเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว และกำลังเดินทางกลับมายังตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อไปรับยาจากบริษัทนำไปส่งที่อื่นต่อ ซึ่งตำรวจที่จับกุมพิเคราะห์ว่า "สามารถพักค้างคืนได้ ไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องเดินทางฝ่าฝืนเคอร์ฟิว ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติที่ใช้กับรถคันอื่นเช่นกัน จึงจับกุมส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีและส่งฟ้องศาล ซึ่งได้พิพากษาลงโทษในความผิด และมีคำสั่งให้คุมความประพฤติจำเลย"
ทั้งนี้ ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ ได้ตระหนักในความจำเป็นของบริษัทจำหน่ายยา จึงได้ประสานกับบริษัทยาเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติมแล้ว เพื่อใช้เป็นข้อมูลวางแนวทางในการพิจารณาการผ่านด่าน ในเวลาจำเป็นและเร่งด่วนต่อไป
หากมีความจำเป็นที่ต้องเดินทางส่งของในระหว่างเวลาเคอร์ฟิว ทั้งภายในจังหวัดและข้ามจังหวัด ต้องมีเอกสารรับรองติดตัว ประกอบด้วย
1.บัตรประชาชน
2.เอกสารรับรอง (ของนายจ้าง หรือผู้ประกอบการ ในเอกสารต้องระบุว่าเป็นใคร มีหน้าที่อะไร สังกัดไหน ความจำเป็นต้องออกมาเพราะอะไร วันเวลาไหนบ้าง)
3.เอกสารรับรองตรงกันและอ้างอิงได้
ทั้งนี้ ผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ