"อนุทิน" ลั่นกลางสภา จ่อใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ครั้งสุดท้าย คุมสถานการณ์ผ่อนปรนระยะ 3 เร่งพัฒนาวัคซีนโควิด เพื่อให้ไทยเป็นผู้นำทางการแพทย์ เชื่อไม่เกิดการระบาดระลอก 2
(28 พ.ค. 2563) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงถึงการดำเนินงานของรัฐบาลในการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 โดยเฉพาะกรณีที่ฝ่ายค้านกล่าวหาว่ารัฐบาลปล่อยปละละเลยให้มีกิจกรรมเสี่ยง จนเกิดการแพร่ระบาดของโรค การปล่อยให้นักท่องเที่ยวจากประเทศกลุ่มเสี่ยงเดินทางเข้าประเทศ ปล่อยให้อุปกรณ์ป้องกันโรคขาดแคลน และการล็อกดาวน์ที่ขาดมาตรการรองรับ
โดยนายอนุทิน ยืนยันว่า นับตั้งแต่มีข่าวการแพร่ระบาดจากประเทศจีน ตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2562 กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค มีการตั้งจุดคัดกรองโรคมาตั้งแต่ก่อนสิ้นปี ในจุดสำคัญทั้งสนามบิน ท่าเรือ จนกระทั่งไทยพบผู้ป่วยรายแรกที่มาจากประเทศจีน แต่ก็ได้รักษาจนหาย ทำให้ได้รับความชื่นชมจากประเทศจีน และจีนก็ได้สนับสนุนประเทศไทยทางด้านเวชภัณฑ์มาตลอด
ส่วนที่มีกิจกรรมเสี่ยง ทั้งสนามมวย และสถานบันเทิงนั้น ยอมรับว่าแม้รัฐบาลจะออกมาตรการควบคุมแต่อาจจะมีการหลุดไปบ้าง ซึ่งเมื่อเกิดปัญหาก็สามารถสอบสวนโรคขยายผลตามตัวกลับมารักษาได้ทุกคน มีการประกาศให้โรคโควิดเป็นโรคติดต่อร้ายแรง และออกมาตรการควบคุมทางการบิน ห้ามนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ มีการคัดกรองคนเข้าประเทศ ตั้งแต่นอกประเทศ ยืนยันว่าการแพร่เชื้อในประเทศในวันนี้ไม่มีแล้ว ที่พบอยู่เป็นเชื้อจากต่างประเทศ ซึ่งมาจากคนไทยที่ทยอยกลับมา แต่คนกลุ่มนี้มีมาตรการกักตัว เพื่อรักษาควบคุมการระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ นายอนุทิน ยังยืนยันด้วยว่า ประเทศไทยมีความพร้อมทางสาธารณสุขและบุคลากรทางการแพทย์ ในการรักษาผู้ป่วย ซึ่งนอกจากรักษาคนไทยแล้ว ไทยยังยึดหลักมนุษยธรรมในการรักษาให้กับแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายที่ติดเชื้อจำนวนมาก โดยไม่ได้ผลักดันให้กลับประเทศ มีการจัดทีมแพทย์ โรงพยาบาลสนาม ซึ่งสะท้อนถึงความพร้อมของประเทศไทย หากเกิดการแพร่ระบาดในรอบที่ 2 แต่เชื่อว่าจะไม่เกิดขึ้น
พร้อมย้ำว่า กระทรวงสาธารณสุข จะดูแลรักษาทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย ไม่ใช่เฉพาะคนไทยเท่านั้น และกำลังสำคัญอีกด้านนอกจากบุคคลากรทางการแพทย์แล้ว ยังต้องขอบคุณพี่น้อง อสม. กว่า 1 ล้านคนที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่อยู่ในพื้นที่จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องตอบแทนพี่น้อง อสม. หลังจากนี้
ส่วนการพัฒนาวัคซีนในประเทศไทย ตามที่ตั้งงบไว้ 45,000 ล้านบาท ตามพระราชกำหนด ยืนยันว่าได้กำชับให้เงินทุกบาททุกสตางค์ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จะกระจายงบบางส่วนให้สถาบันวัคซีน ได้ค้นหาทดลองวัคซีน เพราะประเทศไทยมีวัคซีนป้องกัน โควิด-19 ก็จะสามารถประกาศได้ว่าเราคือผู้นำด้านสาธารณสุข อย่างแท้จริง
ส่วนการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ยังคงไว้ในเดือนมิถุนายน ชี้แจงว่าควบคุมสถานการณ์ที่จะต้องผ่อนคลาย ในระยะที่ 3 เท่านั้น และคิดว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะมีการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งประเทศไทยก็พร้อมที่จะก้าวออกจากสถานการณ์นี้ ย้ำว่า วิกฤตครั้งนี้เราจะไม่เสียเปล่า ประเทศไทยจะกลายเป็นที่น่าสนใจทางด้านการแพทย์ สิ่งที่เราสูญเสียไปวันนี้เราจะเอากลับคืนมาให้ได้