"ธานี อ่อนละเอียด" ร่ายยาวกว่า 1 ชม. ยืนยัน กมธ. สนช.ไม่มีอำนาจก้าวล่วงคดี "ทายาทกระทิงแดง" ชี้ต้องเชื่อมั่นผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ โดดป้องตระกูล "วงษ์สุวรรณ"อย่าเหมารวมว่าทำผิดไปหมด

 นายธานี อ่อนละเอียด สมาชิกวุฒิสภา และอดีตเลขานุการคณะกรรมาธิการการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และกิจการตำรวจ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สนช. แถลงข่าวชี้แจงกรณีที่มีข่าว ว่า กมธ.เคยรับเรื่องร้องขอความเป็นธรรมจากทนายของนายวรยุทธ  อยู่วิทยา หรือ บอส ให้ตรวจสอบคดีนายบอส ขับรถโดยประมาททำให้ตำรวจเสียชีวิต หลังจากหลายฝ่ายออกมาตั้งข้อสังเกตว่า อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ให้อัยการสั่งไม่ฟ้องคดี ว่า กมธ.มีมติรับเรื่องนี้เมื่อวันที่ 13 พ.ค.2559 เพื่อสอบหาข้อเท็จจริง โดยเชิญบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อเท็จจริงตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง 8 คน คืออดีตรองอัยการสูงสุด อธิบดีอัยการ พนักงานสอบสวน เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ตรวจสอบสภาพรถยนต์ พยาน 2 ปาก และพยานแวดล้อม 2 ปาก จากนั้นได้ทำหนังสือถึงอธิบการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจ้อมเกล้า พระนครเหนือ ให้ส่งผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสภาพความเสียหายและคำนวณความเร็วของรถ โดยได้ส่ง รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม หัวหน้าศูนย์วิจัยวิศวกรรมการประเมินและความปลอดภัยยานยนต์ มาทำการตรวจสอบ และส่งผลการตรวตสอบกลับมายัง กมธ. จากนั้นได้รวบรวมผลการสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดส่งไปยังอัยการสูงสุด และอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้เพื่อพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่

พร้อมปฏิเสธ ว่า กมธ.ไม่ได้ลงมติชี้ผิดชี้ถูก เพราะไม่ใช่อัยการ ป.ป.ช. หรือ กกต.ที่จะวินิจฉัยได้ มีหน้าที่แค่เสนอผลการศึกษา คำชี้แจงของผู้มาขี้แจง การศึกษาเรื่องการคำนวณความเร็วรถของผู้เชี่ยวชาญ โดยนำเสนอไปยังหน่วยงานทีเกี่ยวข้องให้พิจารณาเท่านั้น โดยไม่ได้อำนาจก้าวก่ายการทำงานของอัยการ หรือก้าวล่วงในคดี

นายธานี ยังกล่าวถึงผลการศึกษาเรื่องความเร็วด้วยว่า กมธ.ได้ให้ รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เป็นผู้คำนวณ ซึ่งผลปรากฏออกมา บอส ขับรถไม่เกิน 79 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งต่างจากการเก็บหลักฐานในตอนแรกที่บอกว่า บอส ขับรถ 177 กม. /ชม. กมธ.จึงมีการสอบถามไปยังพนักงานสอบสวน ปรากฏว่า พนักงานสอบสวนคนดังกล่าว ได้ไปรายงานต่อหน้าผู้บังคับบัญชาระดับนายพล ว่า การตรวจสอบพยานหลักฐานในตอนแรกคาดเคลื่อน ความจริง คือ 76 กม. /ชม. ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของ รศ.ดร.สายประสิทธิ์ ซึ่งเป็นคนไทยคนเดียวที่เป็นสมาชิกเอเชี่ยน เอ็นแคป

ถามว่าเหตุใดไม่นำข้อมูลของกองพิสูจน์หลักฐานกลาง ซึ่งยืนยันว่าความเร็วรถเกิน 100 กม./ชม. นายธานี กล่าวว่า ไม่มีคนยื่นคำร้องมา แต่ทาง กมธ.ได้เชิญสารวัตรช่างเครื่องยนต์ ยศ พ.ต.ท. ซึ่งทำคดีมาจำนวนมาก มาให้ความเห็นด้วย ซึ่งยืนยันว่าจากความเสียหาย ความเร็วไม่น่าจะเกิน 80 กม./ชม.

ปล่อยเสียง "วิทยาศาสตร์น่าเชื่อถือที่สุด พยานบุคคลยังกลับไปกลับมา ถ้าสงสัยสื่อก็ต้องไปหาความรู้ หาแหล่งอ้างอิงซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการให้ความรู้กับประชาชนว่าวิธีการสืบหาข้อเท็จจริง โดยที่ว่าเราไม่ได้ว่าจินตนาการ คิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่การกระทำความผิดไม่เลือกวัย ไม่เลือกความจน ความรวย ทุกคนมีโอกาสทำความผิดกันหมด แต่ข้อเท็จจริงถ้าพิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์มันต้องเป็นอย่างนั้น แล้วศาลจะเชื่อถือข้อเท็จจริงที่เป็นวิทยาศาสตร์มากกว่าบุคคล"

เมื่อถามถึงพยานใหม่ที่เพิ่งปรากฏตัวทั้งที่คดีดังกล่าวผ่านมา 7 ปี นายธานี กล่าวว่า อย่าจินตนาการแบบนี้ ขอร้องอย่านำเปลือกหรือข้อเท็จจริงที่ยังไม่ยุติมาอ้าง ซึ่งอีก 7 วันทางอัยการก็จะรวบรวมหลักฐาน พยาน เพื่อชี้แจง แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยตรวจสอบว่ามีเหตุผลหรือไม่ อัยการและตำรวจมีหน้าพิจารณามูลเหตุว่า เพียงพอฟ้องหรือไม่ และอัยการเองก็ไม่ได้ทำหน้าที่ตามอำเภอใจ หรืออัยการก็ไม่ใช่บุรุษไปรษณีย์ หรือไม่ใช่พนักงานส่งอาหารที่มาอย่างไรก็ส่งไปอย่างนั้น เขามีดุลยพินิจในการวินิจฉัย ถ้าใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจก็จะติดตัวเขาไปจนตาย ตรงนี้ฝากสื่อให้ความรู้แก่ประชาชนบ้าง ขอให้สื่อใจเย็นและให้สติปัญญากับประชาชน อย่าเร่งเร้า ทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานรนรานไปหมด

นายธานี ยังกล่าวยืนยันด้วยว่า นายสมัคร เชาวภานันท์ ทนายความประจำตัวของตระกูลอยู่วิทยา ไม่ได้เป็นที่ปรึกษา กมธ. และ ตั้งแต่เป็น สนช.ไม่เคยเจอตัวนายสมัคร เท่าที่ทราบ นายธนิต บัวเขียว คือทนายความที่รับมอบอำนาจให้มายื่นเรื่องร้องขอความเป็นธรรมดังกล่าว ส่วนจะเป็นตัวแทนนายสมัครหรือไม่ ไม่ทราบ

นายธานี ยอมรับว่าผลการศึกษาเรื่องความเร็วของกมธ. ตรงข้ามกับหลักฐานเมื่อปี 2555 ซึ่งเป็นที่สงสัยของผมและกมธ.เช่นกัน แต่ก็ไม่มีผู้มาร้องเรียนหลังเจ้าพนักงานทำรายงานต่อหน้าผู้บังคับบัญชา และตัวผู้เชี่ยวชาญที่มาศึกษาก็มีความรู้ความสามารถทำคดีมาหลายคดี มีต้นทุนทางสังคม พร้อมขอมรับ กมธ.พิจารณาจากข้อมูลของฝั่งผู้ต้องหาอย่างเดียว เพราะผู้เสียหายไม่ได้ร้องมาที่สนช. และจากบันทึกของตำรวจนายวรยุทธ ได้มีการเยียวยาให้กับครอบครัวผู้ตายไปแล้ว อีกทั้งญาติก็ไม่ได้ร้องว่าไม่ได้รับเงินเยียวยา พร้อมย้อนถามว่า จะให้สอบประเด็นอะไร เท่าที่ดูข่าวเขาก็ได้รับค่าเสียหายไปแล้วจริงและไม่ติดใจ ที่สำคัญทางญาติก็ไม่ได้นั่งรถไปกับผู้เสียชีวิตและเห็นเหตุการณ์ หากไม่เรียกมาจะถือว่ากมธ.ผิด ขออย่าอคติกับ กมธ.ว่าช่วยนายวรยุทธ เพราะไม่รู้จะช่วยไปทำไม ยืนยันว่ากมธ.ให้ความช่วยเหลือทั้งสองฝ่าย

“ผมอยากจะเตือนสติสังคมว่าไปย้อนดูว่ามีกี่สื่อ กี่ฉบับที่เมื่อศาลพิพากษาแล้ว หรือยกฟ้อง แล้วมีคนตกเป็นจำเลยตามที่สื่อเสนอ แล้วสื่อไปขอโทษด้วยจิตวิญญาณของวิชาชีพ เขาเสียหายขนาดไหน อยากจะเตือนสติไว้บ้างว่าเราเองขายข่าวได้เป็นประเด็น แต่ต้องมีสติ ให้สังคมได้พัฒนา หยิบเอาประเด็นมาเป็นจินตนาการแบบนั้นแบบนี้ เมื่อเขาพิสูจน์ได้ ก็เงียบไป ไม่เห็นมีสื่อไหนถือดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมา ขอเถอะ ขอให้มีสติให้สังคมพัฒนาขึ้น ปฏิรูปสื่อสักที”

ถามทิ้งทายว่าเรื่องนี้มีการโยงไปถึงพล.ร.อ.ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นน้องชายของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หรือไม่ นายธานี กล่าวว่าอย่าพยายามจินตนาการ อย่าไปผูกโยงว่าคนนานสกุลนี้จะผิดไปหมด มันไม่ใช่ ถ้าเขาไม่ทำตามอำนาจหน้าที่ ก็อย่าเหมารวม เพราะมันไม่เป็นธรรม