เผยอีกมุม! หมอจุฬาฯ โพสต์ถึง "สราวุฒิ อยู่วิทยา" ชี้ เป็นผู้ปิดทองหลังพระ
(31 ก.ค. 2563) จากกรณีที่เป็นกระแสข่าวสำหรับนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ขับรถยนต์หรูชนเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต แต่อัยการไม่สั่งฟ้อง จนในโลกโซเชียลมีการสนับสนุนให้แบนสินค้าของตระกูลอยู่วิทยา ล่าสุดในโลกออนไลน์มีการแชร์ข้อความจากสมาชิกเฟซบุ๊ก "Rattaplee Pak-art" ซึ่งเป็นแพทย์อยู่ที่ รพ.จุฬาฯ ได้โพสต์ถึง นายสราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP ซึ่งระบุว่าเป็นเพื่อนกันในสมัยที่เรียนอยู่เตรียมอุดม
โดยโพสต์ดังกล่าวระบุไว้ดังนี้ "ผมเป็นเพื่อนของสราวุฒิ อยู่วิทยา ครับ ขอเรียกชื่อเล่นแบบง่าย ๆ ว่า เอ
อยากเขียนถึงเพื่อนคนนี้ให้คนอ่านบ้าง
ช่วงนี้เอและครอบครัวเจอศึกหนักมาก โดนว่าโดนด่าจากสังคม โดนประนามจากคนที่ไม่รู้จักหนักหนาเหลือเกิน
เท่าที่คุยกัน เอก็มีความรู้สึกเหมือนพวกเราทุกคนแหละครับ เพียงแต่ไม่ได้ออกมาโพสต์ความในใจให้ทุกคนอ่านหรือฟังกัน
เอก็รู้เรื่องนี้จากข่าวเหมือนเรา คือรู้ทีหลังเลย ยังตกใจเหมือนเราอีกว่า เมืองไทยทำยังงี้ได้ด้วยเหรอ (วะ)
เหมือนเราตรงที่ไม่พอใจที่จะมีการบิดเบือนกระบวนการยุติธรรม กฎหมายและความถูกต้อง แต่จะจัดการก็คงไม่ง่ายนัก
นึกถึงตอนเรียนชั้นประถม ในห้องมีเพื่อนส่งเสียงดังเล่นกันอยู่คนสองคน วันนั้นคุณครูเอาไม้เรียวหวดก้นยกชั้น
ผมเองถึงแม้ยังเด็ก แต่ก็ไม่เข้าใจ ว่าเราไม่ได้ทำผิด ทำไมถึงโดนตี
ครูบอกว่า อยู่ห้องเดียวกัน ไม่เตือนกัน ไม่ช่วยกันดูแล ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
ครูไม่รู้หรอกครับ ว่าเราเตือน เราห้ามเพื่อนแล้ว เราช่วยกันดูแลแล้ว แต่เพื่อนตัวแสบมันไม่ฟังเรา
ตอนที่โดนตี เพื่อนหลายคนก็พยายามบอกความจริงกับครูว่าอะไรเป็นอะไร
แต่ครูไม่ฟัง ครูตั้งใจมาตีอย่างเดียวเลย
วันนี้สังคมใน Social Media ทำตัวเหมือนเป็นครูคนนั้น ไม่แม้แต่พยายามจะฟังหรือพยายามจะเข้าใจ
เวลาที่ผ่านไป เด็กดีในห้องหลายคนก็ไม่เข้าใจว่าจะทนทำดีไปทำไมกัน สุดท้ายก็ต้องมาโดนครูตีเหมือนกับเจ้าเพื่อนตัวแสบ
ผมกับ สราวุฒิ (เอ) อยู่วิทยา เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ ม.4 ที่เตรียมอุดม จากนั้นก็แยกย้ายไป ผมมาเรียนหมอที่จุฬาฯ ส่วนเอไปเรียนวิศวะลาดกระบังแล้วดูแลกิจการใหญ่ที่บ้านต่อ ไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก ช่วงไข้หวัดใหญ่ 2009 ระบาดไปทั่วโลก โรงพยาบาลทั้งเล็กใหญ่ในเมืองไทยดูจะไม่ค่อยพร้อมเท่าไรกันเลย ผมเลยโทรหาเอ จำได้ว่าเป็นสองทุ่มของวันศุกร์ เล่าให้ฟังว่ามีความเป็นรีบด่วน แต่ไม่สามารถตั้งเบิกงบจัดซื้อจัดหาสิ่งจำเป็นได้ทันเวลา อยากได้เงินซักห้าแสนไปซื้อข้าวของและจ้างกั้นทำห้องตรวจที่โถงตึกจักรพงษ์ หลังจากฟังอยู่พักใหญ่ เอตอบมาว่า ทำไมโทรมาตอนนี้ค่ำมืด ธนาคารปิดกันหมดแล้ว เอางี้ละกัน วันจันทร์จะเอาเช็คไปให้ พอวันจันทร์เอก็เอาเช็คมามอบให้ที่โรงพยาบาลหนึ่งล้านบาท (จากที่ขอไว้ห้าแสน) พร้อมบอกว่า กลัวโรงพยาบาลไม่พอใช้ ในที่สุดเราก็ได้จัดห้องตรวจคัดกรองแยกโรคพร้อมอุปกรณ์ทั้งหลายพอให้ผ่านวิกฤตคราวนั้นมาได้ด้วยดี
ต่อมาไม่นาน ผอ.รพ.ขณะนั้นกำลังระดมทุนสร้างอาคารภูมิสิริฯซึ่งขาดอยู่อีกมาก เราเลยไปขอการสนับสนุนจาก TCP ตั้งเป้าไว้ว่าถ้าได้ 10-20 ล้านก็มากแล้ว วันรุ่งขึ้นเอก็โทรมาบอกว่า โครงการสร้างตึกภูมิสิริฯนี่ดีมากเลย ชอบมาก แต่บริษัทเพิ่งปิดงบไป ตอนนี้เลยมีให้ไม่มาก ขอให้ไว้ 80 ล้านบาทก่อน ปีต่อ ๆ ไปจะให้เพิ่มอีก พร้อมทั้งขอโทษขอโพยเราใหญ่ เราเองก็ดีใจมาก เพราะจะได้เงินบริจาคมาทำตึกรักษาคนไข้ให้ดี ๆ ต่อมาเอกับพี่น้องก็ทยอยร่วมกันบริจาคเพิ่มอีกเรื่อยๆจนเป็นสองร้อยล้านบาทสำหรับอาคารภูมิสิริที่เดียว ตอนนั้นจะขอถ่ายรูปไปทำข่าวทำอะไรก็ไม่ยอม บอกว่าไม่อยากออกหน้า ตั้งใจมาทำบุญจริง ๆ
บ่อยครั้งที่ญาติพี่น้องในครอบครัวเอป่วย ทั้งที่สามารถไปรักษาที่ไหนก็ได้ในโลก หรือโรงพยาบาลเอกชนแสนแพงในเมืองไทย เพราะยังไงก็จ่ายได้ แต่เอกับพี่น้องเลือกที่จะเข้ารักษาในโรงพยาบาลรัฐบาลแล้วตอนหลังก็มักจะบริจาคสร้างตึก ปรับปรุงสถานที่ หรือจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ราคาสูงให้เสมอ เท่าที่ผมพอจะเห็นกับตา ได้ยินกับหูก็เช่น ศูนย์เคมีบำบัด รักษาโรคมะเร็ง ศูนย์ผ่าตัดหัวใจ หอพักนักศึกษาซึ่งแต่ละแห่งมูลค่าหลายสิบล้านทั้งนั้น ตลอดจนครุภัณฑ์ราคาเจ็ดหลัก แปดหลักก็บริจาคกันบ่อย ๆ หลายสิ่งหลายอย่างที่ว่านี้ บ่อยครั้งที่พี่น้องอยู่วิทยา ขอไม่ไปร่วมพิธีมอบ หรือขอไม่เข้าร่วมพิธีเปิด เพราะไม่อยากเป็นข่าว ไม่ชอบเรื่องออกหน้าออกตา จนบางครั้งเวลามีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้น คนก็มักจะไม่รู้ว่าเหล่าพี่น้องอยู่วิทยาทำความดีอะไรไว้เบื้องหลังบ้าง
ผมเคยถามเอหลายครั้งว่าทำไมไม่ชอบออกหน้ากัน เอบอกว่าพ่อแม่ (คุณเฉลียวและคุณภาวนา) บอกว่าให้ปิดทองหลังพระ ทำความดีไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นรู้ แค่ตัวเองรู้ก็พอ ผมเคยบอกเอว่าสมัยนี้น่าจะต้องออกหน้าบ้าง จะมัวแต่ปิดทองหลังพระไม่ไหวแล้ว เวลาเราเดือดร้อน คนก็ไม่มาสงสารเห็นใจ เพราะไม่ค่อยรู้สิ่งที่เราทำ พูดไปหลายสิบรอบจนช่วงหลังๆก็มียอมออกหน้าบ้าง จนมาถึงวิ่งกระตุกหัวใจปี2018 และ วิ่งกระตุกหัวใจ Virtual run ปี2019 ที่ไปขอให้เอมาช่วยทำงานกัน เอก็มาแบบจัดเต็มคือ ช่วยเงินสนับสนุนเยอะมาก เยอะกว่า major sponsor หลายราย แต่ขอออกหน้านิดเดียวโดยพยายามเกลี่ยผลิตภัณฑ์ไม่ให้เด่นนัก นอกจากเงินแล้ว เอยังส่งทีมคนทำงานจาก TCP มาช่วยอีกหลายฝ่าย แม้กระทั่งมาประชุมเองบ่อยมาก ช่วยออกความคิดระดมความเห็นจนในที่สุดเราได้เงินบริจาคร้อยกว่าล้านบาทเยอะพอที่จะสามารถซื้อเครื่อง AED แจกได้ทุกจังหวัดจังหวัดละหลายๆเครื่องกันเลย ผมยังแซวกันอยู่เลยว่า เอเอาเวลาทำเงินรายได้ให้บริษัท มาทำงานการกุศลแบบตัวเองเสียทั้งเวลาเสียทั้งเงิน แต่เอก็หัวเราะบอกว่าแบบนี้แหละชอบ สนุกด้วย ได้บุญด้วย
จนเมื่อธันวา-มกราที่เพิ่งผ่านมา เอกับผมโทรคุยกันบ่อยมากด้วยเรื่อง COVID19 ว่าถ้าเข้าไทยจะทำไงกันดี เรื่องเงินบริจาคช่วยคนไทยไม่ใช่ปัญหาสำหรับเอและ TCP แต่หลายๆอย่างนั้นมีเงินก็ไม่สามารถซื้อได้ เราเลยค่อยๆเริ่มจากทำหน้ากากผ้าแบบมีไส้กรองช่วงแรกทำไปราวแสนชิ้นรวมถึงหน้ากาก N95 และชุด PPE ที่สั่งซื้อจากต่างประเทศเพื่อแจกจ่ายฟรีให้กับโรงพยาบาลที่ขาดแคลนทั่วประเทศ ตู้อะครีลิคสำหรับตรวจโควิดที่ใช้ตรวจคนไข้และป้องกันบุคลากรทางการแพทย์ก็ช่วยทั้งผลิตและจัดส่งถึงมือแพทย์พยาบาลผู้ใช้ตามโรงพยาบาลกันเลย หรือแม้กระทั่งเครื่องมือตรวจRT-PCRรุ่นล่าสุดที่เพิ่งผ่าน FDA สหรัฐอเมริกาที่หายากเพราะขาดแคลนกันทั้งโลก เอก็ควักเงินสิบกว่าล้านให้โดยไม่ลังเลพร้อมทั้งช่วยต่อรองอย่างแข็งขันจนได้มาใช้ช่วยคนไทยไปได้มากโขอยู่
ระหว่างที่ช่วยกันทำเรื่อง COVID19 หลายเรื่องที่เกี่ยวกับตำรวจหรือศุลกากรนั้น เอบอกว่าไม่รู้จักใครเลย แล้วถามผมว่าพอจะช่วยได้มั้ย ทั้งเรื่องการหาหน้ากาก N95 จากต่างประเทศเพื่อมาแจก รพ. การนำเข้าเครื่องตรวจราคาแพงแบบจำเป็นเร่งด่วน หรือแม้กระทั่งการจัดส่งเวชภัณฑ์และครุภัณฑ์หลายอย่างที่ต้องพึ่งตำรวจทางหลวง ผมเลยต้องอาศัยคนไข้บ้าง เพื่อนฝูงพี่น้องที่รู้จักกันบ้าง ค่อย ๆ ช่วยกันจนลุล่วงไปได้ ยังนึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่า เอไม่ค่อยใช้หรือไม่ค่อยมีเส้นสายอิทธิพลเหมือนคนมีเงินทั่ว ๆไปเลย แปลกดีเหมือนกัน
ที่ผมเล่ามาข้างบนนั้นยืดยาวเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่จริงยังมีอีกเยอะและยาวมากที่เอและพี่น้องได้ปิดทองไว้ข้างหลังพระ
วันนี้ผมขอโอกาสเป็นผู้ชวนให้ผู้ที่ผ่านมาอ่านเข้าแวะเดินไปชมหลังองค์พระบ้าง
ถ้ามัวแต่รอให้ทองโผล่ไปข้างหน้า คนปิดทองอยู่ข้างหลังอาจจะท้อใจหรือตรอมใจจากไปก่อนกาลได้
ไม่อยากให้คนดี ๆ เสียกำลังใจไป ห่วงจะไม่มีคนมาปิดทองที่องค์พระกันอีก
แต่สำหรับผมแล้ว
ไม่ว่าเอจะรวยไปกว่านี้ หรือจะยากจนไม่เหลืออะไรเลย
จะสุขกว่านี้ หรือจะทุกข์กว่านี้
สังคมจะรักหรือจะด่าประนามแค่ไหน
ผมยังมั่นใจเสมอว่า คุณธรรมและความดีงามของเอยังคงเหมือนเดิม
ผมยังภูมิใจที่ได้บอกคนอื่นเต็มเสียงทุกครั้งว่า
"คนนี้ คุณเอ สราวุฒิ อยู่วิทยา เพื่อนผมเองครับ""