อัยการสั่งฟ้อง "บอส อยู่วิทยา" 2 ข้อหา ขับรถประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย และเสพโคเคน
(18 ก.ย. 2563) นายชัชชม อรรฆภิญญ์ อธิบดีอัยการสำนักงานต่างประเทศ, นายอิทธิพร แก้วทิพย์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา (หัวหน้าคณะทำงาน), นายชาญชัย ชลานนท์นิวัฒน์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา (คณะทำงาน) และนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด และอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 3 (คณะทำงานและเลขานุการคณะทำงาน) ร่วมกันแถลงข่าวความคืบหน้าการพิจารณาสั่งคดีของพนักงานอัยการ ซึ่งเป็นคณะทำงานพิจารณาสำนวนคดีนายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ผู้ต้องหาขับรถชน ดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ เสียชีวิตเมื่อปี 2555 หลังจากพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ได้ส่งสำนวนพยานหลักฐานใหม่ใน 2 ข้อหา คือ ขับรถชนคนตาย และคดีเสพโคเคน
พนักงานอัยการชุดทำงานได้มีมติเป็นเอกฉันท์ พิจารณาสั่งฟัองคดีนายวรยุทธในข้อหา ขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตาม ป.อาญา มาตรา 291 โดยแจ้งให้พนักงานสอบสวนนำตัวนายวรยุทธมาเพื่อฟ้องต่อไป คดีนี้จะหมดอายุความในวันที่ 3 กันยายน 2570 และสั่งฟ้องนายวรยุทธ ในข้อหา เสพยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ 2 (โคเคน หรือ โคเคอีน) โดยผิดกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 58,91 คดีนี้จะหมดอายุความในวันที่ 3 กันยายน 2565
เนื่องจากพนักงานอัยการคณะทำงานเห็นว่าการเสพโคเคนแล้วขับรถยนต์ความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดจนเกิดอุบัติเหตุ เป็นการกระทำความผิดตามกฎหมาย โดยมีหลักฐานเป็นผลตรวจของแพทย์ระบุว่า มีสารเสพติดประเภทโคเคนในร่างกายจริง
อีกทั้งยังนำผลการคำนวนความเร็วรถจากผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือมาประกอบการพิจารณา โดยประเด็นนี้อ้างอิงจากหลักฐานใหม่ เป็นพยาน 2 ปาก ที่ไม่เคยปรากฎในสำนวนคดี คือ นายสธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เคยลงพื้นที่ตั้งแต่วันเกิดเหตุเพื่อคำนวนความเร็วรถยนต์ของนายบอส และนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความเร็วรถ ที่ทั้งสองคนให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่านายบอส ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยนายสธน ให้ความเห็นว่ารถมีความเร็ว 160-190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และนายสามารถ ให้ความเห็นว่ารถมีความเร็ว 110-145 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
จึงเห็นว่า นายวรยุทธ กระทำผิดจริงตามข้อหาดังกล่าว จึงมีความเห็นสั่งฟ้อง ซึ่งการสั่งฟ้อง 2 ข้อหานี้ ไม่ได้อยู่ใต้บริบทของคำสั่งเดิมที่สั่งไม่ฟ้องไปก่อนหน้านี้ แต่เป็นการสั่งคดีจากพยานหลักฐานใหม่ อายุความจะนับตั้งแต่วันที่กระทำความผิด