รถบัสทอดกฐินขับข้ามรางโดนรถไฟสินค้าพุ่งชนอย่างแรง บริเวณสถานีรถไฟคลองแขวงกลั่น จังหวัดฉะเชิงเทรา เบื้องต้นมีผู้เสียชีวิต 18 ราย ด้านผู้บาดเจ็บเผยในรถเปิดเพลงค่อนข้างเสียงดัง

กล้องวงจรปิดบริเวณสถานีรถไฟคลองแขวงกลั่น บันทึกภาพนาทีรถบัสทอดกฐิน กำลังขับข้ามรางรถไฟไปอย่างช้า ๆ จังหวะนั้นเอง ถูกขบวนรถไฟพุ่งชนฝั่งด้านซ้ายอย่างแรง จนหัวรถหมุนกระเด็นกลับ ก่อนพลิกเอนล้ม ทำให้ด้านข้างรถโดนรถไฟเบียด คาดว่าผู้โดยสารถูกเหวี่ยงกระเด็นออกนอกรถ บางคนโดนรถไฟทับร่างเละ

อุบัติเหตุครั้งนี้ เกิดเมื่อเวลา 08.30 นาฬิกา บริเวณสถานีรถไฟคลองแขวงกลั่น ต.บางเตย จ.ฉะเชิงเทรา พบรถบัส สภาพพังยับเยินพลิกตะแคงขวางรางรถไฟ และมีศพผู้โดยสารที่มากับรถบัส ถูกเหวี่ยงออกมานอกรถ นอนกระจายเกลื่อนร่าง สภาพศพเละ หัวขาด ร่างกายแหลกเลว เจ้าหน้าที่กู้ภัย รีบช่วยกันเก็บศพ พร้อมช่วยเหลือผู้บาดเจ็บที่ติดอยู่ในซากรถบัส เบื้องต้นทราบว่ามีผู้เสียชีวิต 18 ราย ซึ่งรวมคนขับรถบัส

 หนึ่งในผู้โดยสารรถบัส เปิดเผยกับทีมข่าวช่อง 8 ว่า ผู้โดยสารเป็นพนักงานโรงงานเดียวกัน เดินทางออกจากจังหวัดสมุทรปราการเมื่อเวลาประมาณ 06.30 น. ระหว่างทางมีการเปิดเพลงเสียงดังบนรถ รวมทั้งดื่มเครื่องดื่มมึนเมากันเล็กน้อย โดยเฉพาะช่วงท้ายรถที่มีเสียงดังกว่าจุดอื่นๆ เมื่อรถมาถึงจุดเกิดเหตุ ตนได้ยินเสียงหวูดรถไฟดังมาก แต่แปลกใจที่คนขับรถบัสไม่ยอมเบรค กระทั่งรถไฟชนเข้ากับรถบัส จึงรีบมุดออกมาทางหน้าต่าง เมื่อหันไปมองโดยรอบก็พบเพื่อนร่วมทางหลายคนเสียชีวิตในลักษณะน่าหวาดเสียว ซึ่งคนที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นคนที่ยืนและเต้นอยู่ท้ายรถ ส่วนตัวเธอไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด 

ขณะที่ผู้โดยสารอีกคน เปิดเผยกับทีมข่าวช่อง 8 ว่า ขณะเกิดเหตุเธอนั่งอยู่ท้ายรถมองดูเพื่อนร่วมงานที่กำลังสนุกสนานจากการฟังเพลง จากนั้นก็ไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นมารู้สึกตัวอีกครั้งที่โรงพยาบาล ในสภาพบาดเจ็บมีบาดแผลตามร่างกายและแน่นหน้าอก เมื่อทราบว่ารถชนและเพื่อนร่วมงานเสียชีวิตก็ตกใจมากเพราะส่วนใหญ่เป็นคนที่สนิทกันและนั่งรถอยู่ในจุดเดียวกับเธอ สำหรับเธอที่รอดมาได้เชื่อว่าอาจเป็นปาฏิหารย์จากเหรียญหลวงพ่อรวยที่ห้อยคออยู่ เพราะก่อนออกจากบ้าน ได้บอกกับเหรียญดังกล่าวว่าขอให้เดินทางปลอดภัย

สำหรับเหตุการณ์นี้มีรายงานว่าเบื้องต้นมีผู้เสียชีวิต 18 ราย ได้รับบาดเจ็บ 29 คน และบาดเจ็บเล็กน้อย 14 คน ผู้บาดเจ็บถูกนำส่งโรงพยาบาลพุทธโสธร 24 คน และโรงพยาบาลบ้านโพธิ์ 5 คน ส่วนผู้เสียชีวิตทั้งหมดจะนำไปไว้ที่สุสานสมาคมสงเคราะห์การกุศลฉะเชิงเทรา

ต่อมา เจ้าหน้าที่ใช้รถเครน 2 คันยกซากรถบัสออกจากรางรถไฟบริเวณสถานีรถไฟคลองแขวงกลั่น ม.7 ต.บางเตย อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา หลังลำเลียงร่างผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์รถไฟชนรถบัสคณะพนักงานโรงงานที่กำลังเดินทางไปทอดกฐิน โดยหลังย้ายซากรถออกจากจุดเกิดเหตุเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้เข้าเก็บพยานวัตถุเพิ่มเติม ก่อนที่กำลังทหารจะเข้าเก็บทรัพย์สินของผู้เสียหายจากบริเวณดังกล่าว

นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งลงพื้นที่มาตรวจสอบที่เกิดเหตุเปิดเผยเบื้องต้นว่าจากการตรวจสอบ คนขับรถไฟพยายามอย่างเต็มที่ที่จะยับยั้งไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ โดยเปิดหวูดสัญญาณเตือน และเปิดไฟเตือน แต่คนขับรถบัสอาจจะไม่ได้ยิน หรือเห็น ทำให้ขับข้ามมา

สำหรับจุดตัดข้ามทางรถไฟดังกล่าว ไม่มีไม้กั้นเนื่องจากสถานีนี้ไม่ได้ถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นจุดตัดที่ต้องมีไม้กั้น ทั้งนี้ต้องดูข้อเท็จจริงประกอบกันว่าจุดดังกล่าวมีสถานะเป็นอย่างไรกันแน่ และควรต้องมีไม้กั้นหรือไม่ รวมถึงเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของใครที่จะต้องติดตั้งไม้กั้น เพราะเป็นเส้นทางรถไฟรางคู่ แต่จากการสังเกตเบื้องต้นพบข้างทางรถไฟ มีรั้วกั้นและสัญญาณเตือน แต่อาจจะด้วยความจำเป็นหรือวิถีชีวิตของชาวบ้านจึงทำให้มีถนนตัดขึ้นมาตรงจุดดังกล่าว

ส่วนสัญญาณไฟจะใช้ได้หรือไม่ได้นั้น จะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน เพราะเป็นการบอกเล่าจากหลายฝ่าย แต่อย่างน้อยที่เห็นทางกายภาพ พบว่ามีสัญญาณเตือน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ผู้ขับขี่ต้องระวังพอสมควร ปัญหาทางตัดเป็นปัญหาที่ทางภาครัฐต้องออกมาพูดคุยกันอย่างจริงจังเพราะความสูญเสียลักษณะนี้ไม่สมควรเกิดขึ้น แม้อาจจะมีบางส่วนมองว่าไม่อันตรายเพราะเป็นคนในพื้นที่ แต่สำหรับคนนอกพื้นที่ ที่ไม่ชินทางอาจทำให้ไม่ทันได้ระมัดระวัง

สำหรับสถานะของทางที่ไม่ได้มีการขึ้นทะเบียน เท่าที่ดู ก็พบว่ามีสัญญาณเตือนอยู่แล้วซึ่งคนข้ามก็ต้องระมัดระวัง กรณีที่ไม่มีไม้กั้น ซึ่งปกติแล้วรถไฟจะต้องส่งเสียงหวูดเตือน แต่ทั้งนี้ในส่วนของทางก็มีสถานะแตกต่างกัน เช่นเป็นทางที่ชาวบ้านทำเอง คนขับเองก็ไม่ทราบ รถไฟก็ไม่ทราบ จึงไม่ทันระวัง ลักษณะนี้ต้องอาศัยความระมัดระวังทั้งสองฝ่าย เพราะฉะนั้นถ้าทางที่ขึ้นทะเบียนแล้วถูกต้องตามกฎหมายแล้วก็จะเป็นทางที่ปลอดภัย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยกันไม่ให้เกิดเหตุลักษณะนี้อีก ส่วนเรื่องการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง จากนี้ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไป