นายกฯ แถลงขอบคุณทุกฝ่าย เสียสละ-ร่วมมือช่วยคุมโควิดสำเร็จ ชี้ วัคซีนต้องกระจายไปยังประชาชนทั่วถึง

(26 พ.ย. 2563) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลง "เรื่องโควิดและความสำเร็จของประเทศไทย" โดยระบุว่า

"พี่น้องประชาชนที่รักทุกท่านครับ

วันนี้ ผมขออัพเดทให้ทุกท่านทราบถึงแนวทางที่ประเทศไทยของเรากำลังเดินไปข้างหน้า ในภาวะการณ์ที่เรายังจำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่กับการแพร่ระบาดของโควิดที่ทำลายทั้งชีวิตและเศรษฐกิจของทั้งโลก

ตอนนี้ โลกกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิดมา

ปัจจุบันนี้ แต่ละวัน หลายประเทศในยุโรปและที่อื่นๆ มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน และในสหรัฐอเมริกา มีผู้เสียชีวิตเกือบพันคนต่อวัน นับว่าเป็นวิกฤตที่ทำให้ประเทศต่างๆ ปั่นป่วน จนเกิดการประท้วงอย่างรุนแรงในเกือบ 30 ประเทศทั่วโลก

ล่าสุด เมื่อเร็วๆ นี้ องค์การอนามัยโลกได้ออกคำเตือนว่า มีโอกาสที่โควิด-19 จะเกิดการระบาดอีกเป็นระลอกที่ 3 ในช่วงปีหน้า ถ้าแต่ละประเทศไม่รักษาวินัย และไม่เข้มงวดในการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดอย่างเคร่งครัด

• ที่สหราชอาณาจักร ตอนนี้มีการล็อกดาวน์ทั้งประเทศไปเรียบร้อย ร้านค้า ร้านอาหาร ผับ บาร์ สถานที่ทำกิจกรรมบันเทิง และกีฬา รวมถึงสถานที่ต่างๆ ต้องปิดให้บริการ เกือบทั้งหมด และเมื่อวานนี้ เพิ่งมีการแถลงสถานการณ์เศรษฐกิจ ที่คาดการณ์ GDP จะหดตัวถึง 11%
• ส่วนที่สาธารณรัฐฝรั่งเศส ก็มีการล็อกดาวน์มาตั้งแต่สิ้นเดือนตุลาคม และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะยิ่งแย่หนัก GDP น่าจะทรุดลงถึง 11% ในปีนี้
• ที่ราชอาณาจักรสเปน มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งอาจจะกินเวลานานหลายเดือน มีการประกาศเคอร์ฟิว มีการจำกัดการเดินทาง และมีการจำกัดเรื่องการรวมตัวกัน
• ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ก็มีการล็อกดาวน์ ห้ามออกจากบ้าน ถ้าไม่มีเอกสารตามขั้นตอน
• ราชอาณาจักรเบลเยี่ยม ก็ล็อกดาวน์ เช่นเดียวกัน
• และในสหพันธ์ สาธารณรัฐเยอรมนี ร้านค้า ร้านอาหาร ปิด และมีการจำกัดเรื่องการรวมตัวกัน

สถานการณ์ทางด้านสาธารณสุข และผลกระทบที่ส่งมาถึงเรื่องเศรษฐกิจ ยังคงทวีความรุนแรงมากขึ้น ทั่วโลก

สิ่งที่ต้องระมัดระวังมากที่สุด ไม่ใช่จำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิดเพียงอย่างเดียว แต่หากปล่อยให้สถานการณ์เลวร้ายจนถึงขั้นเหนือการควบคุม จะส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตของผู้คนเป็นจำนวนมาก คนที่มีปัญหาด้านสุขภาพ หรือป่วยเป็นโรคอื่น ซึ่งต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล จะประสบปัญหาเตียงไม่พอ หมอและพยาบาลติดพันอยู่กับการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อโควิด สิ่งที่แย่ที่สุดที่เราไม่อยากเห็นคือ หมอและพยาบาล มีงานล้นมือ จนถึงขั้นมีเวลาไม่เพียงพอสำหรับรักษาดูแลผู้ป่วยได้ทันทุกคน และจำเป็นต้องเลือกว่า จะรักษาคนไหน และไม่รักษาคนไหน ซึ่งจนถึงวันนี้ นับว่าเราสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดสถานการณ์แบบนั้นในประเทศของเราได้สำเร็จ

ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนในทุกภาคส่วน ทุกภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการ และคนทำงานต่างๆ ที่ได้เสียสละ และยอมรับที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากในการทำมาหากิน เพื่อที่จะปกป้องบ้านเมืองของเรา ไม่ให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมากกว่านี้ เหมือนกับที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก

ความสำเร็จนี้ เป็นสิ่งที่องค์การอนามัยโลก ให้การยอมรับประเทศไทย ในฐานะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในโลกตัวอย่างหนึ่งในการรับมือกับโควิด อีกทั้งยังกล่าวด้วยว่า ความสำเร็จของประเทศไทย ในการดูแลและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิดในประเทศนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็น “ความร่วมมือกันของประชาชนทุกระดับและทุกภาคส่วนในสังคม” และด้วย “การบริหารจัดการสรรพกำลังทุกอย่าง แบบบูรณาการของรัฐบาล” ซึ่งผมอยากให้ทุกคนได้ภาคภูมิใจ และร่วมกันรักษาความรู้รักสามัคคี และสิ่งดีๆ นี้ไว้

ตอนนี้ผมขอบอกกับทุกคนว่า เรากำลังเตรียมตัวสำหรับเฟสถัดไป ในการบริหารจัดการกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อไม่ให้โรคร้ายนี้สร้างปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง และสร้างความยากลำบากในความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยไปมากกว่านี้

วิธีจัดการกับวิกฤตโควิดในระยะยาวคือ การมีวัคซีนป้องกัน และจะต้องกระจายไปยังประชาชนให้ได้อย่างทั่วถึง ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนที่มีความเป็นไปได้ว่าจะประสบความสำเร็จ ซึ่ง 3-4 กลุ่ม อยู่ในขั้นตอนที่ก้าวหน้าไปมากแล้ว โดยกำลังทำการทดสอบความปลอดภัยในการใช้ ก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้ใช้ได้จริง อย่างไรก็ดี เรารู้ว่าประเทศใหญ่ๆ ในโลกต่างพยายามล็อกคิว เพื่อที่จะได้ใช้วัคซีนเป็นประเทศแรกๆ ทันทีที่วัคซีนได้รับการยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัย แล้วผลิตเสร็จออกมา ซึ่งผมเห็นว่าประเทศไทยเรา ก็สมควรที่จะได้รับโอกาสนั้นด้วย คือการเข้าถึงวัคซีนอย่างรวดเร็วและเพียงพอ เพราะการได้วัคซีนมาใช้นั้น ยิ่งเร็วเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจสามารถฟื้นกลับมาเป็นปกติได้เร็วขึ้นด้วย

นั่นคือเหตุผลที่เมื่อ 2-3 เดือนก่อน ผมได้ตัดสินใจว่า ประเทศไทยต้องเดินหน้าหาพันธมิตร เพื่อผลิตวัคซีนในประเทศไทยให้ได้ ไม่ใช่เพียงแค่ไปเข้าคิวรอซื้อจากการผลิตในประเทศอื่นเพียงอย่างเดียว เราต้องเลือกจับมือกับพันธมิตรที่มีศักยภาพ ที่น่าจะมีโอกาสทำสำเร็จได้จริงอย่างรวดเร็ว

เมื่อเดือนที่แล้ว ความพยายามของเราประสบความสำเร็จ ซึ่งนอกจากเราได้ลงนามข้อตกลงกับมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และบริษัทแอสทราเซเนกา เพื่อผลิตวัคซีนในประเทศไทย หากการพัฒนาวัคซีนสำเร็จลุล่วงแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการ คือประเทศไทยยังจะได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในการผลิตวัคซีนนี้ด้วย และในวันพรุ่งนี้ จะมีการลงนามเพิ่มเติมในอีกหนึ่งข้อตกลง เพื่อสั่งซื้อวัคซีนนี้ โดยเมื่อ 2-3 วันก่อน เราได้รับทราบข่าวดีว่า ทีมมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และบริษัทแอสทราเซเนกา ได้ประกาศถึงความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนแล้ว ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิดได้ถึง 70-90% อยู่ในระดับที่ “ดีมาก”

นอกจากนั้น วัคซีนที่มหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และบริษัทแอสทราเซเนกา พัฒนาขึ้น จะสามารถผลิตออกมาได้ในราคาที่ถูกกว่า หากเทียบกับวัคซีนของที่อื่นๆ และสำคัญมากกว่านั้น คือวัคซีนนี้ มีความเหมาะสมกับประเทศไทยมากกว่า เพราะในขณะที่วัคซีนของที่อื่นๆ จำเป็นต้องเก็บรักษาในอุณหภูมิ -20 ถึง -70 องศาเซลเซียส ตลอดเวลา ต้องใช้ตู้แช่เย็นที่ออกแบบพิเศษโดยเฉพาะ ทำให้มีข้อจำกัดทางด้านการขนส่งที่จะทำได้อย่างยากลำยากมาก แต่วัคซีนนี้ สามารถเก็บรักษาได้ไม่ยาก ในตู้เย็นธรรมดา ณ อุณหภูมิ 2 ถึง 8 องศาเซลเซียส สามารถขนส่งเพื่อกระจายวัคซีนไปสู่พื้นที่ต่างๆ ทั่วทุกจังหวัดของไทยเราได้อย่างทั่วถึงและไม่ยุ่งยาก

เราคาดว่า วัคซีนนี้ น่าจะได้รับการอนุญาตให้ใช้ได้ และผลิตได้ในช่วงกลางปีหน้า ซึ่งถ้าเราเร่งขั้นตอนต่างๆ ได้ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้เราสามารถเปิดรับคนจำนวนมากเข้าประเทศได้ และสามารถเริ่มสร้างฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาอีกครั้ง ขณะนี้ ผมกำลังพิจารณาวางแผนกระบวนการ และขั้นตอนต่างๆ เพื่อเตรียมการสำหรับการกระจายวัคซีนไปให้ทั่วถึงทุกพื้นที่ของประเทศ ให้ได้อย่างรวดเร็ว ทันทีที่เราได้วัคซีน

แต่ก่อนที่จะถึงวันนั้น ตอนนี้เรากำลังเข้าสู่ช่วงเทศกาลต่างๆ ผมขอให้พี่น้องชาวไทยทุกคน ผู้ที่ได้ร่วมมือ ร่วมใจ เสียสละความสะดวกสบายส่วนตัว ในการยับยั้งและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาตลอดระยะเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา ได้ช่วยกันอีกครั้งเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียชีวิตของผู้คน และบรรเทาไม่ให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจจนหนักหนาสาหัสในประเทศไทย เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นแล้ว ในหลายประเทศทั่วโลก ผมขอให้พวกเราทุกคนยังคงรักษาวินัย ใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือ และรักษาระยะห่างทางสังคม ขอให้ทุกคนช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดในประเทศไทย เพื่อไม่สร้างความทุกข์ยากให้กับประเทศ รุนแรงกว่าที่เราเผชิญอยู่ในปัจจุบัน

ขอบคุณครับ"